วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

นามบัตร

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นิยาย ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน 21

20th CHAOS

            ตอนเช้าเราออกจากบางแสนกันตั้งแต่ตีห้า (เชื่อรึเปล่าว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ผมไม่เค๊ยยย ไม่เคยกระปรี้กระเปร่าตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ขนาดนี้มาก่อน) เรียกว่ามีเวลาเหลือเฟือพอให้ผมกับปุณณ์แวะกินอาหารเช้าข้างทางกัน แถมยังโชคดีอีกเพราะรถไม่ติดมาก พวกเราจึงมาถึงกรุงเทพกันในเวลาที่น่าพอใจ
            รถยนต์ Honda Civic สองประตูคันสีดำเมื่อมของปุณณ์จอดเทียบข้างทางแถว ๆ หน้าโรงเรียนผมทันเวลา 8 โมงพอดีเด๊ะ แอบเห็นมิสวันทนาและมาสเซ่อบรรชากำลังดุเด็กม.ต้นที่เอาเสื้อออกนอกกางเกงอยู่พอดี

            ว่าแล้วก็ต้องรีบยัดชายเสื้อตัวเองเข้ากางเกงมั่งดีกว่า ไม่อยากโดนด่าแต่เช้า แหะ ๆๆ

            "มึงเข้าสายไม่เป็นไรเหรอวะ" ผมยัดชายเสื้อพลางถามไอ้ปุณณ์ที่ยังใส่ชุดไปรเวทอยู่ตรงเบาะคนขับ เนื่องจากเราขับรถตรงจากบางแสนมาถึงโรงเรียนเลย ไม่มีการแวะบ้านใครก่อนทั้งสิ้น ไอ้ปุณณ์ได้ยินอย่างนั้นก็ส่งยิ้มให้ผมจาง ๆ "ไม่เป็นไรหรอก มึงรีบไปเหอะ"

            "เออ... ขับรถระวังอะ ตอนเช้าตำรวจเยอะ ใบขับขี่ก็ไม่มี ไอ้เกรียน"

            "เออ กูหน้าแก่ สบายมาก" เข้าใจประชดตัวเองอีกนะ..

            "รู้ก็ดี.." ผมว่ามันปนขำก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าสะพายสีดำบนเบาะหลัง จนกระทั่งหันกลับมา พบว่าใบหน้าของปุณณ์ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาประชิดหน้าผมในระยะใกล้

            ริมฝีปากบางสีอมส้มนั้นหยิบยื่นสัมผัสร้อนแรงให้กับผมเนิ่นนาน เหมือนจะไม่ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ.. ผมเอื้อมมือข้างหนึ่งลูบเส้นผมที่ค่อนข้างยาวกว่าเด็กม.ปลายทั่วไปของปุณณ์ ในขณะที่มันรั้งวงหน้าผมไว้ไม่ให้หนีไปไหน

            นานจนแทบไม่เหลือลมหายใจ เมื่อปลายลิ้นของเราทั้งคู่หยอกล้อกันไม่ห่าง จนผมต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะหยุดไม่ได้อีกต่อไป

            "ปุณณ์...." ผมกระซิบชื่อเจ้าของสัมผัสนั้นทั้งที่ริมฝีปากเรายังชิดกันอยู่ รอจนมันหยุดมามองหน้าผมแล้วจึงค่อย ๆ ผละออก

            รอยยิ้มที่ผมมอบให้ปุณณ์ คือสิ่งที่ตั้งใจสร้างที่สุดแล้ว

            "ไปก่อนนะเว้ย"

            ผมไม่รู้ว่าเสียงมันที่แว่วมาหลังจากนั้นต้องการบอกอะไร เพราะผมรู้เพียงว่า.. ประตูรถสีดำคันนั้นถูกปิดลงแล้ว พร้อม ๆ กับเรื่องของโน่และปุณณ์ ที่จบลงไป..


***


            "เห้ยไอ้โน่
!!" ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ครับว่าใคร ผมหยุดรอไอ้โอม และรถเก๋ง ที่พากันวิ่งแพ็คคู่กระหืดกระหอบตามกันเข้ามาในโรงเรียน.. เออเว้ย วันไหนกูมาเช้า พวกมึงก็มาเช้า วันไหนกูมาสาย พวกมึงก็มาสาย สัณชาตญาณดีจริง ๆ

            "ไงสาด รอดมาสเซ่อมาได้ด้วยเหรอวะ"

            "ก็รอดแบบวิ่งหนีมานี่แหละ" ไอ้โอมว่าพลางดึงชายเสื้อนักเรียนออกให้หย่อนยานยิ่งกว่านมคุณยายอายุ
80 ผมเห็นดังนั้นเลยเอามั่ง ก็เก็บชายเสื้อไว้ในกางเกงนาน ๆ แม่งโคตรอึดอัดนี่ครับ!!

            "แล้วมึงไปไงมาไง ทำไมไอ้ปุณณ์มาส่ง แล้วมันไปจอดรถตรงไหนเนี่ย" อะ.. อะไรนะ
!!!!!!!?! ผมที่กำลังง่วนกับการดึงชายเสื้อออกจากกางเกงต้องเงยหน้ามองไอ้รถเก๋งเจ้าของคำพูดนั้น ด้วยนัยน์ตาแทบจะถลนทันที..... มันรู้ได้ไงวะว่าผมมากับไอ้ปุณณ์!!!!!!!!!!!!?

            "แม่งไปค้างด้วยกันมาอีกชัวร์ วันดีคืนดีเชี่ยโน่เคยแบกเป้มาโรงเรียนที่ไหน" ไอ้เชี่ยโอมตัวดีฟันธงซะจนผมแทบสะดุดหัวทิ่มหน้ารูปปั้นคุณพ่อ แม่งเอ๊ย... เรื่องแบบนี้มึงคิดในใจไม่ต้องพูดเสียงดังก็ด๊ายยยยยย สาดด

            "เฮ้ยจริงเด่ะ
!? มึงกะไอ้ปุณณ์สนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ เพิ่งรู้!?" พอ ๆๆ เลิกถามซักที กูมีเรื่องจะถามมึงมากกว่า

            "แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูมาพร้อมไอ้ปุณณ์"

            "ก็กูเห็นรถไอ้ปุณณ์ ซีวิกสองประตูสีดำ ทะเบียน
8899 ติดสติ๊กเกอร์อนุญาตเข้ารัฐสภา กับจุฬาลงกรณ์ได้" อื้อหือ.... ไอ้ห่านี่มันบรรยายได้เป็นฉาก ๆ จนผมคิดว่าเจ้าของรถมาได้ยินเองก็คงตกใจ... แม่งรู้ดีขนาดนั้นผมว่ายอมแพ้ไอ้รถเก๋งมันดีกว่า

            "เออ กูยอมแพ้ กูมากับไอ้ปุณณ์" พอใจยัง... เหอะ ๆๆ ผมตอบกลับไปอย่างหัวเสียหน่อย ๆ ที่โดนเห็นเข้าจนได้... เฮ้ย..... ... โดนเห็นงั้นเหรอ
??....

            แม่งเห็นอะไรมั่งวะ
!!!!!!!!!!!!

            ผมตาเหลือกมองไอ้รถเก๋งกับไอ้โอมที่เงียบไปแล้ว เพราะตอนวิ่งเมื่อกี้โอมมันทำสายไอพอดพันกันยุ่งไปหมด ส่วนรถเก๋งก็กำลังกดมือถือเช็คอะไรเรื่อยเปื่อยของมันไป ไม่มีใครแสดงท่าทีสงสัยอะไรผมสักคน... แต่... เพื่อความแน่ใจ..

            "แล้วมึงเห็นไอ้ปุณณ์บนรถปะ" ผมพยายามเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามอย่างอ้อมโลกที่สุดเท่าที่สมองผมตอนนั้นจะคิดได้ แต่ไอ้โอมกับไอ้รถเก๋งที่กำลังแก้สายไอพอดและเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ ต่างพากันส่ายหัวดิ๊กส่งกลับมา

            "จะไปเห็นได้ไง รถแม่งฟิล์มดำยังกะทาสีดำไปถึงกระจก กูรู้เพราะกูจำทะเบียนกับสติ๊กเกอร์มันได้หรอก" เออ ค่อยยังชั่ว.... เกือบไปแล้วไหมล่ะกู....

            "ทำไม เมื่อกี้มึงกะไอ้ปุณณ์เอากันบนรถรึไง" ปากเสียงี้มีไอ้เชี่ยโอมคนเดียวครับ ไอ้ขายเพื่อน... ผมกระทืบเท้ามันทันทีที่แม่งพล่ามเสร็จ "อ๊าก
!!!!!!!!!!!!!!"

            "คราวหน้ากูเอารองเท้าหัวปลาวาฬยัดตูดมึงแน่" คำพูดอาฆาตพยาบาทของผมทำไอ้รถเก๋งหัวเราะลั่น.. จริง ๆ มันหัวเราะตั้งแต่ได้ยินคำว่าผมกับไอ้ปุณณ์เอากันบนรถแล้วแหละครับ (ใครจะไปทำอย่างนั้น
!!!! รถมันโหลดต่ำ.......... เฮ้ย!! ไม่ใช่!)

            "แล้วตกลงทำไงมาไงมึงถึงไปสนิทกับปุณณ์ได้วะ สองปีก่อนที่กูลากมึงไปงานวันเกิดมัน มึงยังอิดออดจะไม่ไปอยู่เลย" ไอ้รถเก๋งยังคงป้อนคำถามผมต่อระหว่างเดินขึ้นตึกเรียนด้วยกัน ผมชะงักนิดหน่อย เพราะไม่รู้จะอธิบายสาเหตุไหนให้มันฟังดี

            "ก็สนิทกันตอนตามเรื่องเงินชมรมนั่นแหละ มันช่วยอยู่"

            "เอาตูดเข้าแลก
!" หน็อยยย ไอ้เชี่ยโอม! มึงอยากลิ้มรสรองเท้าหัวปลาวาฬสวนทวารมึงจริง ๆ ใช่มะ ผมหันซ้ายหันขวามองหารุ่นน้องม.สอง (กลุ่มผู้โชคร้ายในการโดนสั่งให้ใส่รองเท้าหัวปลาวาฬและเข็มขัดไอ้มดแดงโดยอธิการ) แต่เมื่อหาไม่เจอจึงยกเอารองเท้าหนังหัวคว้านของผมเองให้มันดูไปพลาง ๆ ก่อน

            แน่นอนว่าแม่งวิ่งจู๊ดขึ้นบันไดไปอย่างโคตรเร็วปานได้ยินเสียงคนเคาะจานข้าวเรียกมัน

            "ไอ้เชี่ยโอม..." ผมสบถไล่หลังมัน โดยมีเสียงรถเก๋งหัวเราะชอบอกชอบใจเป็นแบ็คกราวด์

***


            จนมาถึงคาบพักกลางวัน หลังจากที่ผมเพิ่งสอบวิชาสังคมศึกษาของบราเดอร์ศักดาเสร็จ (ด้วยความมึน) ก็ได้เวลาปลดปล่อยอารมณ์กันเล็กน้อย ตามหลักธรรมเนียมปฏิบัติภายในห้องเรียน

            โต๊ะเรียนทั้งห้องถูกแหวกออกเป็นรูว่างตรงกลางขนาดใหญ่ เพื่อใช้วางลานประลองของพวกผม.. ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้เนื้อที่ประมาณหนึ่งเพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวก

            แต่ไม่ได้ต่อยกันนะครับ
^^"... เรียนชายล้วนก็จริงแต่ใจอย่างกับปลาซิว... พวกผมเล่นไอ้นี่กันอยู่..


            "มึงแย่แน่ตานี้... ไอ้เก่ง ตูดหมา" เสียงไอ้พ้งตะโกนแซวไอ้เก่ง ที่เดินวนไปวนมารอบโต๊ะเป็นรอบที่
5 หรือไม่ก็ 6 (จนผมล่ะมึนหัวแทนมัน) ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวไม่มีการตอบโต้ใด ๆ นอกจากเริ่มเดินวนต่อเป็นรอบที่ 6 หรือไม่ก็ 7 เพื่อเล็งหามุมว่าจะดึงบล็อคไม้ตัวไหนออกอย่างไรดี ตึกถึงจะยังไม่ถล่ม..

            ใช่ครับ พวกผมเล่นอูโน่กันอยู่ จับวงคลายเครียดกันเป็นสิบคนได้ โชคดีชิบหายที่ตอนโอน้อยออกผมดวงเฮง ได้หยิบเป็นคนแรกก็เลยสบายไป แต่ตอนนี้ชักจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเข้าขั้นซวยตะหงิด ๆ เพราะแค่ถัดจากไอ้เก่ง กับ ไอ้คม ก็วนมาถึงตาผมอีกรอบแล้วว

            จะเอาปัญญาที่ไหนทำให้ไม้ไม่หล่นล่ะเนี่ย
!!!! โฮ ๆๆ.... รีบถล่มตึกซะตั้งแต่ตอนนี้เถอะพวกมึง กูขอร้องงงงงงง ToT...

            "ไอ้สัด กูรอจนช้างแอฟฟริกาจะคลอดลูกแล้ว ขอแวะไปทำคลอดให้มันก่อนแล้วค่อยเดินกลับมาดูมึงได้ปะวะ" เสียงโวยวายจากไอ้รถเก๋งดังอย่างรำคาญความเจนจัดของไอ้ห่าเก่งมัน... ก็แหม๊.... ทีคนอื่นช้าล่ะแม่งปากดีด่าเอา ๆ แต่พอถึงตาตัวเองเสือกล่อซะจนแทบหมดคาบพักกลางวัน คนอื่นเขาไม่ต้องเล่นกันพอดี

            "เออ มึงไปเลย ปั่นจักรยานไปก็พอนะ กูคงใช้เวลาอีกนาน"

            "ไอ้ขนตูด มึงจะเอาออกดี ๆ หรือให้กูดีดแม่งล้ม"

            "เออ ๆๆๆ ออกแล้ว ๆๆๆๆ" มันว่าพร้อมกับรีบดึงบล็อคไม้อันหนึ่งออก ทั้งที่แทบไม่ได้เล็งด้วยซ้ำ (เพราะไอ้รถเก๋งทำท่าจะเดินไปดีดจริง ๆ) จนเพื่อน ๆ ทั้งห้องต้องสูดลมหายใจกันเฮือกใหญ่ เนื่องจากลุ้นจัด.. เพราะไอ้ตึกอูโน่มันกำลังเอนไปเอนมาอย่างน่าหวาดเสียวว่าเดี๋ยวคงมีสิทธิ์พังลงมาทั้งแท่งแน่นอน
!

            "ฟู่
! ฟู่! ฟู่!" เป็นไอ้เชี่ยโอมที่ยืนกวนตีนอยู่ฝั่งตรงข้าม กำลังพยายามเป่าอูโน่ตาไอ้เก่งให้ล้มสมใจอยากมัน ด้วยวิธีการที่พวกผมมักใช้แกล้งกันประจำ แต่ครั้งนี้ไอ้เก่งเสือกรู้ทัน เพราะมันใช้รองเท้าหนังเบอร์ 43 ยันเข้าให้กลางเป้าไอ้โอมก่อนไปถึงฝัน "ไอ้สาดดดดด"

            แต่ยิ่งพวกนี้ทำเสียงโครมครามมากเท่าไหร่ พื้นห้องก็ยิ่งกระเทือนมากเท่านั้น ตอนนี้อูโน่ไอ้เก่งโยกไปโยกมากอย่างน่าหวาดเสียวขั้นสุดท้าย "เฮ้ย ๆๆๆ" แล้วมึงจะร้องเสียงหลงทำเชี่ยไร ได้ข่าวว่ามึงนั่นแหละทำพื้นห้องกระเทือนเอง เชี่ยเก่ง

            ผมมองบล็อคไม้ทรงสูงที่เอียงไปทางซ้ายที ขวาที ทำเอาลุ้นไปตาม ๆ กัน  ไอ้เก่งก็อ้าปากค้าง อุทิศคอหอยมันให้เป็นที่อยู่อาศัยของแมลงวันประมาณสี่ตัว ก่อนจะค่อย ๆ หุบปากลงเมื่อแท่งอูโน่เริ่มทรงตัวเองดีขึ้นเรื่อย ๆ... เรื่อย ๆ.... เรื่อย ๆ.... จนกระทั่ง...........

            "เย้
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" ถามจริง ตอนมึงหุงข้าวให้แม่กินได้ครั้งแรก มึงดีใจงี้ปะวะ...

            ผมเหล่ตามองไอ้เชี่ยเก่งที่วิ่งเป็นซุปเปอร์แมนรอบห้องอย่างกับมันเป็นฮีโร่โอลิมปิก (คราวหน้ามึงเพิ่มท่าไหว้สี่ทิศด้วยนะสาด) แถมยังหันไปยักคิ้วให้ไอ้คม คนที่จะโดนเชือดเป็นรายต่อไปอีก

            "ตาย.. แน่... เหี้ย..." ผมทำปากบอกไอ้คมว่าอย่างนั้น เลยโดนมันโบกหัวหนึ่งฉาดใหญ่ สาดดด... ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลยกู

            แต่ระหว่างที่ไอ้คมกำลังถูกวิญญาณอูโน่เข้าสิง เดินวนรอบโต๊ะเรียนเป็นครั้งที่สามนั้นเอง (กูว่ามึงวนขวาสามรอบอย่างนี้แล้วขึ้นเผาไปเลยดีกว่าว่ะ) เสียงเรียกจากเพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่งที่เพิ่งกลับจากพักกลางวันก็ดังขึ้น

            "โน่
!! มีคนมาหา!!" ใครวะ?

            "รีบไปเลยเมิงงง หน้าเมิงกวนตีน กุไม่มีสมาธิ" อ้าวไอ้เชี่ยคม ความผิดกูซะงั้น
! ผมได้ยินดังนั้นเลยถีบตูดมันซะหนึ่งทีก่อนจะวิ่งไปดูหน้าห้องว่าใครมา เผื่อว่าเป็นน้อง marching band มีปัญหาอะไรตอนซ้อมรอบกลางวัน ผมจะได้ช่วยเหลือพวกมันทัน


            แต่ไอ้คนตรงหน้าผมมันยิ่งใหญ่กว่าน้อง
marching band ทั้งวงอีกว่ะ.............................. เลขานุการสภาฯเนี่ย

            .. ผมยืนเอ๋อมองหน้าคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อตอนเช้า ก่อนจะพยายามปั้นยิ้มออกมาให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด..
           
            "มีเชี่ยไรวะ ถ้าจะเรี่ยไรตังค์ ห้องนี้จนหวะ ไม่มีให้" ผมเอาจุดอ่อนของสภานักเรียนช่วงนี้มาล้อไอ้ปุณณ์มัน เนื่องจากโรงเรียนกำลังมีจุดก่อสร้างปรับปรุงอยู่หลายจุด เป็นสาเหตุให้อธิการพาลมาขูดรีดนักเรียนตาดำ ๆ อย่างพวกผมเป็นว่าเล่น.. ซึ่งก็ได้ผล... ไอ้ปุณณ์มอบรางวัลให้ผมเป็นหลังมือเขกเข้ากลางกะบาลซะหนึ่งที... อูยยย... เพิ่งจะโดนไอ้คมเขกมาแท้ ๆ

            "ตังค์อะเอาแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้" โห... คำตอบมันไม่สร้างสรรค์เลยว่ะ "แล้วมึงทำข้อสอบได้ปะ" คำถามนี้ก็ไม่ค่อยสร้างสรรค์เหมือนกัน
-_-"....

            "ได้ทำว่ะ มึงมาถึงโรงเรียนตอนไหนอะ" ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะคุยกับมันแบบปกติ (ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ถือว่าไม่ค่อยปกติ เพราะผมไม่เคยมายืนคุยกับมันหน้าห้องเรียนซักหน่อย) เห็นปุณณ์ทำหน้าเซ็งทันทีที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเดินทาง

            "เพิ่งถึงเนี่ย เมื่อเช้าเกือบโดนลูกเสือโบก ดีรถแม่งเยอะ กูไม่จอด เหยียบหนีเลย ฮ่า ๆ" ภูมิใจไหมนั่น ไอ้เกรียน... ผมเหล่มองมันอย่างกลุ้ม ๆ... ก็กูบอกแล้วว่าอย่าขับรถ..

            ผมอ้าปากจะด่าอะไรมันต่ออีกหน่อย แต่ก็ดันสบตาเข้ากับปุณณ์ ที่อยู่ดี ๆ เปลี่ยนมาเป็นมองผมแบบหงอย ๆ เสียก่อน
            เรายืนเงียบกันอยู่อย่างนั้นพักนึง ด้วยเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี.... ผมรู้สึกว่าตอนนี้.... แค่จะเอื้อมมือไปจับตัวปุณณ์.. ผมยังทำไม่ได้..



            "ไอ้เชี่ยโน่
!!!!! มึงซวยแน่ ไอ้คมผ่านแล้ว!!!!" ชิบหาย!! เสียงนรกของไอ้เก่งลอยมาจากในห้องเล่นเอาผมสะดุ้งเฮือก ต้องหันไปมองมันสุดตัว

            "เออ ๆๆ กูไปเดี๋ยวนี้แหละ สาดดด แม่งเก่งกันจังวะ
!!!... เอ่อ ปุณณ์ มีไรอีกปะ?" ผมหันไปตะโกนตอบไอ้เก่งก่อนจะหันมาถามปุณณ์ ซึ่งก็ได้คำตอบเป็นหัวทุย ๆ ของมันที่ส่ายดิ๊กเหมือนกับคนตั้งตัวไม่ทัน

            "ถ้าไม่มีงั้นกูไปเล่นเกมต่อก่อนนะ.. บาย" ไม่รอฟังอีร้าค่าอีรมอะไรทั้งสิ้น เมื่อผมรีบวิ่งกลับไปยังลานประลองกลางห้องเรียนทันที



            ให้มันเป็นแบบนี้ก็แล้วกัน.


อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/hedfuc/story/viewlongc.php?id=436675&chapter=21#ixzz15oHW7Va0

นิยาย ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน 20

Special CHAOS
Can you hear it. เสียงจากปุณณ์

            "ปุณณ์! ช่วยดูงบชมรมเราให้หน่อยสิ นะ ๆๆ หายไปตั้งสองหมื่นกว่าแน่ะ จะบ้าตายอยู่แล้ว"
            นี่คือการปรากฎตัวของโน่ที่เซอร์ไพร์สผมที่สุดในรอบหลาย ๆ ปี.. เรารู้จักกันก็จริงครับ แต่ไม่เคยมีเรื่องต้องคุยกันสองคนแบบนี้มาก่อน และแต่ละครั้งที่คุย ก็ไม่เคยมีประโยคไหนที่ยาวขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน..

            นึกถึงวันนั้นทีไรก็ยังอดยิ้มไม่ได้ เพราะปกติแล้ว หน้าขาว ๆ ของโน่ที่ผมเห็นประจำมักเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์เสมอ เดี๋ยวมันก็โวยวาย เดี๋ยวทำหน้ากวนตีน บางทีทำเหมือนกำลังวางแผนชั่วอะไรซักอย่างอยู่กับบรรดาเพื่อนของมัน หรือไม่ก็ทะเล้นทะลึ่งไปเรื่อย แต่วันนั้นแปลกหน่อยที่มันทำหน้าเดือดร้อนสุดชีวิตมาหาผมแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำเอาต้องกลั้นขำ สารภาพก็ได้ครับว่าผมชอบแอบมองโน่บ่อย ๆ เพราะมันหลากหลายดี เห็นหน้ามันทีไรก็ผ่อนคลายอารมณ์จากเครียด ๆ ให้ได้หัวเราะขำทุกที

            แต่สาบานได้ว่าถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับโน่สักครั้ง เพราะโน่เป็นเพื่อน(ห่าง ๆ)ที่ร่าเริงของผมเสมอ ผมรู้ว่าโน่น่ะแมนเต็มร้อย เคยได้ยินว่ามีแฟนอยู่ที่เดียวกับแฟนผม แต่ไม่เคยรู้ว่าคนไหนเหมือนกัน ก็ได้แต่แอบคิดว่าเวลาเจ้านี่อยู่กับแฟนจะเป็นยังไง จะกวนตีนเหมือนเวลาอยู่โรงเรียนไหม (แฟนมันคงเครียดอะครับ) หรือที่จริงแล้วอาจจะสวีทหวานน้ำตาลขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลยก็ได้.. ใครจะรู้

            คำที่ผมต่อรองโน่ไปวันนั้นก็เกิดจากความบริสุทธิ์ใจล้วน ๆ เช่นกัน... ผมขอร้องมันโดยไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่ง ทั้งผมและโน่ จะตกหลุมกันและกันจนแทบถอนตัวไม่ขึ้น


           
Aim : ยูริออนแล้วเรียกด้วยจ้ะ พูดว่า:
              ปุณณ์อย่าทิ้งเอมไปไหนนะ


            แต่ความจริงไม่เคยมีอะไรง่ายอย่างที่ใจคิด.. ผมนิ่งมองข้อความนั้นที่ส่งผ่านโปรแกรม
msn มาทางจอคอมพิวเตอร์ของผม ก่อนจะถอนหายใจยาว

            ผมรู้สึกว่าปลายนิ้วชี้ตัวเองเคาะเม้าส์เบา ๆ เหมือนคนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทั้งที่จริง ๆ แล้วสมองว่างเปล่า... ไม่ใช่ว่าผมจะใจร้ายไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าพยายามคิดแล้วคิดอีกยังไงก็ไม่เคยเห็นทางออก จนกระทั่งเรื่องเดินทางมาจนถึงจุดนี้... ผมก็กลายเป็นเหมือนคนวิ่งหนีความจริงไปโดยปริยาย..

            หลายครั้งผมทบทวนตัวเองจนไม่อยากเชื่อว่าทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง สิ่งที่ผมรู้สึกกับโน่คืออะไรกันแน่... ผมรักโน่งั้นเหรอ
?... ผมไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะมอบสิ่งยิ่งใหญ่ขนาดนั้นให้เพื่อนที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ชีวิตผมแบบเต็ม ๆ เมื่อวันพุธได้

            ผมไม่สามารถจำกัดความคำว่า
'รัก' ให้เจ้านั่นได้อย่างเต็มปาก... แต่ผมอยากมีมัน การมีโน่อยู่ข้าง ๆ ผมในระยะเวลา 1 อาทิตย์ที่ผ่านมากลายเป็นสมบัติที่มีค่ามาก ทุกครั้งที่ผมตื่นมาแล้วเห็นหน้าโน่หลับอยู่ข้าง ๆ ผมอดคิดไม่ได้ว่าในเช้าวันต่อ ๆ ไปก็ขอให้เป็นแบบนี้อีก... จนกระทั่งเราก้าวล้ำเส้นความเป็น 'เพื่อน' ระหว่างกัน

            ผมรู้ว่ามันเชี่ยมากที่ทำอย่างนั้น ทั้งที่คนอย่างผมไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นกับใครได้อีกแล้ว
            ผมอยากเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรักเอมได้ตลอดรอดฝั่ง ผมอยากประคับประคองความสัมพันธ์ของผมกับเอมไว้ให้สมกับที่เธอไว้ใจ

            แต่ผมกลับแพ้ภัยตัวเองอย่างร้ายกาจ


            ผมโกหก... ที่พูดว่าบริสุทธิ์ใจตอนขอให้โน่แกล้งมาเป็นแฟนด้วย.. ผมโกหก..
            ที่จริงแล้วผมดีใจมากที่เป็นโน่เข้ามาในช่วงเวลานั้นพอดี... โน่ที่เป็นเพื่อนห่าง ๆ ของผม โน่ที่เมื่อแปดปีก่อน เคยชักเย่อแข่งกับผมจนล้มระเนระนาดหัวเข่าถลอกกันทั้งคู่ โน่ที่เมื่อห้าปีก่อนเคยแสดงเป็นโหรคู่กับเจ้าเมืองซึ่งคือผมในงานสัปดาห์วันภาษาไทย โน่ที่เมื่อสองปีก่อนเคยถูกรถเก๋งลากมางานเลี้ยงวันเกิดบ้านผมด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ และพยายามพูดเพราะตลอดเวลาจนอดแอบมองไม่ได้ ว่ามันจะทำตัวเปิ่น ๆ อะไรในงานบ้างหรือเปล่า...

            โน่คนที่ผมคิดเสมอว่าถ้าเจอเด็กผู้หญิงแบบนี้คงจะดีไม่น้อย... ผมคิดอยู่บ่อย ๆ ว่าอยากให้เอมสดใสได้เท่าโน่ ถึงจะโวยวายกระโชกโฮกฮากทำตัวนักเลงโตไปบ้าง แต่ดวงตากลมแป๋วนั้นก็ฉายแววเป็นมิตร และความจริงใจอยู่เต็มเปี่ยม

            ผมท้าทายตัวเองด้วยการขอร้องคนที่ผมสนใจเป็นพิเศษมาตลอดให้แกล้งเป็นแฟนผมให้ โดยปลอบใจตัวเองว่าถึงยังไงโน่มันก็เป็นผู้ชาย ถึงจะน่ารักน่าเอ็นดูยังไง ผมก็คงไม่มีทางคิดอะไรแปลก ๆ กับเจ้านี่ได้เด็ดขาด

            แต่ยิ่งนานวัน ผมก็ยิ่งรู้ว่าผมประเมินค่าตัวเองสูงไป.... ใจผมไม่ได้แข็งเท่าที่คิดเลย..



            โทรศัพท์เครื่องสีดำตั้งเงียบ ๆ อยู่ตรงหน้า เช่นเดียวกับผมที่ยังคงเงียบ.. ไม่ได้ตอบอะไรเอมกลับไปในหน้าต่าง
msn บานนั้น

            ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรไปแล้ว.. เพราะถ้าเมื่อ
2 อาทิตย์ก่อนผมคงพิมพ์ตอบเอมกลับไปด้วยความยินดีว่าไม่ว่าวันไหนผมก็จะไม่มีวันทิ้งเธอ... แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกว่ามือแข็งเป็นหิน ไม่สามารถตอบอะไรเพื่อทำให้ตัวเองดูดีได้เลยจริง ๆ

            เพราะผมรู้อยู่แก่ใจว่าผมมันเลวแค่ไหน..


            นิ้วชี้ผมเลื่อนจากเม้าส์ที่จับอยู่ไปจิ้มยังปุ่มเบอร์โทรออกล่าสุดที่เพิ่งพยายามกดหาไปเมื่อหัวค่ำ แต่ก็ตัดสินใจวางสายก่อนเสียงสัญญาณจะดัง เพราะผมไม่ค่อยแน่ใจว่าโทรไปหาแล้วจะคุยอะไร (ถ้าถามว่าเจ็บไหมก็คงโดนมันด่ากลับ)... แล้วเจ้าตัวจะยินดีคุยกับผมอยู่รึเปล่า

            แต่นิ้วมือก็ไปได้ไวกว่าความคิด เมื่อมันกดโทรออกทันที ผมกดเปิดลำโพงโทรศัพท์ ได้ยินเสียงสัญญาณดังเพียงไม่นาน อีกฝ่ายก็รับสายด้วยน้ำเสียงนักเลงตามแบบฉบับมัน

            "โทรมาไม กูอยู่หน้าห้องมึง......."

            ผมแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเปิดประตูออกไปพบว่าโน่ยืนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ.. โลกของผมหยุดนิ่ง เพราะหลังจากนั้นไอ้คนท่าทางกวนตีนตรงหน้าจะทักทายด้วยคำว่าอะไรผมไม่สนแล้ว สิ่งเดียวที่ร้องก้องอยู่ในหัวผมตอนนี้คือ

            ผมอยากมีโน่
            อยากให้โน่อยู่ข้าง ๆ ผมต่อไป
            ไม่ต้องถึงกับตลอดชีวิตก็ได้
            ขอแค่ในเวลานี้ ที่เรายังรู้สึกดี ๆ ต่อกัน

            ผมอยากเก็บรักษาช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ให้ลึกที่สุด
            เผื่อว่าวันหนึ่ง วันที่ผมอาจจะต้องกลายเป็นของใคร ผมจะได้ไม่ลืมเวลานี้

            เวลาที่เคยมีโน่... เวลาที่เป็นเหมือนสมบัติชิ้นล้ำค่าในใจผม

            "บางแสนมะ ใกล้ ๆ?"
            "เดี๋ยวตอนเช้าพาไปส่งให้ทันสอบ... มาเร็ว
!" หึหึ... หน้ามันเหวอตลกดีครับ โวยวายเสียงดังอย่างที่ผมคิดไว้เปี๊ยบ แต่โบราณว่าด้านได้อายอด ผมไม่สนใจหรอกว่าโน่จะโวยวายขนาดไหน เพราะหลังจากวันนี้ไป ก็ไม่รู้แล้วเหมือนกันว่าเราจะยังเหลือโอกาสกันอยู่อีกหรือเปล่า

            เพราะแววเศร้าหมองในดวงตาโน่ แจ้งให้ผมรู้ดีว่าโน่มาทำไม..
            หากหลังจากนี้จะมีอะไรเปลี่ยนไป.. ผมขอแค่โอกาสสุดท้าย.. ที่เราจะอยู่ด้วยกันนาน ๆ


            ตลอดทางบนรถ ถ้าแค่โน่หันมามองผมบ้าง โน่คงรู้ว่าผมกล้ำกลืนฝืนทนขนาดไหน กับคืนสุดท้ายที่กำลังจะผ่านพ้นไป
            ที่ร้านอาหาร ถ้าแค่โน่เชื่อใจผมบ้าง โน่คงรู้ว่าถึงผมจะไม่สามารถลืมเอมได้ แต่ความคิดว่าจะทอดทิ้งโน่ไปไหน ก็ไม่เคยมีอยู่ในหัวผมเช่นกัน
            ในห้องคืนนั้น... ถ้าแค่โน่เห็นแก่ตัวกับคนอย่างผมบ้าง..

            ถ้าแค่โน่เชื่อ.. และปล่อยเรื่องทั้งหมดให้ผมตัดสินใจ..

            ผมพร้อมจะทิ้งความจริง ความดีงาม ความถูกต้องทุกอย่าง

            ผมพร้อมเสมอ ที่จะกอดโน่ให้นานเท่าที่โน่ต้องการ


            แต่โลกแห่งความจริงและความฝันก็เป็นแค่เส้นขนาน
            ผมเหลือเพียงคืนนี้เท่านั้น... ที่ผมกับโน่จะไม่ใช่เพื่อนกัน

            ผมไม่สามารถกอดโน่ได้นาน เท่าที่ผมต้องการ.. อีกต่อไป



ปุณณ์.


อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/hedfuc/story/viewlongc.php?id=436675&chapter=20#ixzz15oHLQxAq

นิยาย ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน 19

19th CHAOS
            หลังจากที่กินทั้งข้าวและกับแกล้มเสร็จจนอิ่มแปร้ ซัดตามด้วยเบียร์ 1 ทาวเวอร์ ทั้งผมและปุณณ์ก็กึ่ม ๆ กันไปเรียบร้อย ถ้าจะถามว่ากึ่มขนาดไหนลองคิดดูว่าหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายก่อนออกจากร้าน ผมถึงขั้นขึ้นไปโชว์สกิลความเป็นประธานชมรมดนตรี ด้วยการเปิดมินิคอนเสิร์ตร่วมกับพี่นักดนตรีในร้านยาวรวด 12 เพลง (หนึ่งโหล) ทั้งเล่นกีต้าร์ ร้องเพลง คีย์บอร์ด ตีกลอง ตบเบส ผมแจมหม๊ดดด... โห... พูดแล้วจะหาว่าคุยครับ ดนตรีไทย วงโย เครื่องออเคสตร้า ผมเล่นได้ทั้งนั้น ไม่งั้นจะเป็นประธานชมรมดนตรีได้ไง ฮ่า ๆๆ (แต่ถ้าไม่เมาผมคงไม่ทำอะ คิดแล้วอายตัวเอง)

            แน่นอนว่าตอนเข้าร้านฮือฮาขนาดไหน ขาออกมานี่ฮือฮายิ่งกว่า ฮ่า ๆๆ พวกผมเดินออกจากร้านด้วยเสียงกรี๊ดกระหึ่มของพี่สาว ๆ นักศึกษาที่เริ่มนั่งก้นไม่ติดโต๊ะกันเพราะแต่ละเพลงที่เล่นไป ช่างเปลี่ยนคอนเซปต์จากร้านอาหารธรรมดาให้กลายเป็นผับย่อย ๆ ได้ในพริบตา หึหึ.. ก็แหม... เห็นทุกโต๊ะเขามีเหล้ามีเบียร์ตั้งอยู่นี่ครับ ไอ้จะให้นั่งฟังเพลงสบาย ๆ ช้า ๆ ก็กลัวว่าเดี๋ยวจะง่วงหลับคาโต๊ะกันพอดี

            เวลาเกือบเที่ยงคืน เราเช็คบิลออกจากร้านด้วยราคาที่พี่เจ้าของลดให้เกินครึ่ง
! แหม... ไม่รู้จะยกความดีความชอบให้ใคร ระหว่างผม ที่เปิดมินิคอนเสิร์ตกางเกงน้ำเงินเอาใจแม่ยกสาขาบางแสน หรือไอ้เชี่ยปุณณ์ ที่หล่อสะท้านชายหาดจนป้า ๆ นักศึกษาแถวนั้นรีบกดโทรศัพท์เรียกเพื่อนยิก ๆ ให้เข้ามากินข้าวร้านนี้จนคนแน่นขนัด

            แต่ยังไงก็เหอะ เราสองคนขับรถออกจากร้านด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้างง อย่างหุบไม่อยู่ ปุณณ์พารถฮอนด้าสองประตูของมันขับลัดเลาะถนนริมชายหาดไปเรื่อยเปื่อย ขณะที่เปิด
moon roof ให้ผมได้ชมพระจันทร์ดวงสวยเต็มตา

            มีความสุขจนไม่อยากให้คืนนี้ผ่านไปเลยแฮะ... เวลาเล่นเกมจับผิดยังมีปุ่มหยุดเวลาเลย แล้วทำไมในชีวิตจริงถึงไม่มีมั่ง
            ผมแอบมองใบหน้าด้านข้างของปุณณ์ที่เจือรอยยิ้มอยู่เช่นเดียวกัน


            เราสองคนขับรถวนรอบชายหาดไปเรื่อย พลางซัดเบียร์จากเซเว่นอีกสามสี่กระป๋อง ก่อนจะหยุดรถลงเช็คอินที่โรงแรมริมหาดแห่งหนึ่ง แม้จะว่าแพงหูฉี่สำหรับทะเลบางแสน แต่บัตรวีซ่าสีทองของไอ้ปุณณ์ช่วยได้

            "ไว้มีตังค์แล้วจะใช้ให้นะ" ผมว่าพลางตบไหล่มันปุ ๆ ระหว่างเดินไปห้องพักริมทะเลของเรา ได้ยินเสียงมันหัวเราะรับคำพูดผม ก่อนจะยื่นมือมาตบเกรียนผมดังปั้ก
!

            ถ้าเยี่ยวรดที่นอนคืนนี้มึงก็เปียกนั่นแหละไอ้เวร
!!

            "คิดมากไร ตังค์นี่เดี๋ยวกูหักจากค่าชมรมมึง" อ้าววววววว พูดงี้ก็สวยดิ่ครับ!! ผมถลึงตามองหน้าไอ้ปุณณ์ที่ทำเป็นผิวปากไม่สนใจ พลางไขประตูห้องหมายเลข 17 อยู่ นี่ถ้าเหวี่ยงเป้ฟาดหัวมันได้ผมคงทำไปแล้ว ติดแต่เป้โคตรหนัก ให้เหวี่ยงขึ้นมาล่ะแขนผมคงได้มีหัก

            "โอ่ยยยยย สบายยยยยยยยยยยยยยยยยย" ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก ผมก็รีบเขวี้ยงเป้โรงเรียน แล้วปรี่ไปเปิดประตูกระจกรับลมทะเลทันที ขณะที่ไอ้ปุณณ์ยังคงสาละวนอยู่กับการล็อคประตูห้องให้แน่นหนา ไม่รู้แม่งกลัวโจรเข้าหรือกลัวผมหนี

            ผมยืนสูดลมทะเลตรงริมระเบียงได้ซักพักก็รู้สึกถึงวงแขนอุ่นที่ตระกองกอดรอบเอวผมไว้หลวม ๆ จากด้านหลัง พร้อมทั้งใบหน้าคนมาด้วยกันก้มซุกอยู่บริเวณไหล่.. ผมเหล่ตามองปุณณ์พลางยักไหล่ขึ้นลงให้หัวมันเด้งดึ๋งเล่น ๆ "เฮ้ย
! เพิ่งมาถึงจะปล้ำกูเลยเหรอ ไม่ไหว ๆๆ หื่น" แกล้งกวนตีนมันไปอย่างนั้นแหละ หึหึ

            "มึงแหละหื่น กูยังไม่ได้ทำไรเลย" แน่นอนว่ามันต้องด่าผมกลับ แต่เสียงฟังดูอู้อี้มากเพราะยังคงซุกหน้ากับบ่าผมอยู่ ผมหัวเราะกับคำตอบนั้นพลางลดมือที่เกาะราวระเบียงอยู่ ลงมาจับมือปุณณ์ที่โอบผมไว้แทน "เป็นอะไรห๊ะ
?" เพราะอยู่ดี ๆ เข้ามาอ้อนแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ ๆ

            "ขออยู่แบบนี้ซักพักได้มั้ย............" เสียงนั้นของปุณณ์ฟังดูอ่อนแรงจนทำให้ผมระลึกได้ว่าควรหยุดกวนตีนมันซักที สิ่งที่ทำในเวลาต่อมาจึงกลายเป็นการอิงหัวตัวเองลงกับหัวมันแล้วยืนนิ่ง ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดผมได้นานเท่าที่ต้องการ

            "แต่ถ้าตะคริวกินขากู มึงโดน..."


***


            'I could be brown, I could be blue, I could be violet sky~'
         
เวลาผ่านไปพักใหญ่ที่เรายืนกอดกันจนโทรศัพท์เครื่องสีดำของปุณณ์ส่งเสียงทำลายความเงียบ ผมเหลือบมองโนเกียเครื่องนั้นที่ทั้งร้องทั้งสั่นอยู่บนโต๊ะวางของซึ่งปุณณ์วางทุกอย่างทิ้งไว้บนนั้น

            "ลืมปิดเครื่องเหรอเนี่ย..." เสียงทุ้มนั้นบ่นกับตัวเองเบา ๆ ข้างหูผม ก่อนจะคลายวงแขนออก เตือนให้นึกไปถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับยูริเมื่อตอนเย็นอีกครั้งทันที..
           
            ผมมองตามแผ่นหลังภายใต้เสื้อยืดสีเขียวทหาร ที่เดินผละไปยังที่วางโทรศัพท์ แต่ไม่ยักเห็นวี่แววหรือทีท่าใด ๆ บอกว่าปุณณ์จะกดปุ่มรับสายเลย

            "เฮ้ย
! ปุ่มนั้นมันปิดเครื่อง ไอ้ควายยย" เมื่อเห็นว่าปุณณ์งก ๆ เงิ่น ๆ แถมยังคลำมืออยู่บริเวณปุ่มปิดเครื่องแทนที่จะเป็นปุ่มรับสาย ผมก็รีบปรี่เข้าไปโบกเหม่งมันเพื่อเตือนสติทันที ก่อนจะถูกอีกฝ่ายโบกหน้าผากกลับคืนมา "ก็กูจะปิดเครื่องไง ไอ้นี่..."

            แต่อย่าคิดว่าผมจะยอมมันง่าย ๆ.. ในที่สุด เหตุการณ์ยื้อยุดฉุดกระชากโทรศัพท์ (ที่ยังคงดังอยู่) จึงเกิดขึ้น ผมเหลือบตามองเบอร์โทรเข้าโชว์เป็นรูปเอมหรา จนรู้สึกเจ็บขึ้นมาแปลก ๆ "เอมโทรมา มึงจะปิดเครื่องทำไม"

            เจ้าของมือถือหลบสายตาผมวูบทันที................


           
'Why don't you like me? Why don't you like me? Why don't you walk out the door'.........................
         
เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือดังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเงียบไป ปุณณ์ฉวยโอกาสนั้นกดปิดเครื่องอย่างไม่รอรี แต่ยังช้ากว่ายูริที่โทรเข้ามือถือผมอย่างรวดเร็ว

           
'ใครจะไปดีได้ทุกชั่วโมง ก็เรามันคนไม่ใช่ละครทีวี~'
         
ผมเหลือบมองไอโฟนตัวเองที่ร้องอยู่ข้างเป้อย่างขำ ๆ

            "พ่อบ้านหนีเมียว่ะ โทรตามกันให้วุ่น หึหึ.." แต่ขณะที่ผมกำลังจะเดินไปกดรับสายยูรินั้นเอง ดันไม่ทันคนที่ไวเป็นลิงกว่าอย่างไอ้ปุณณ์ เพราะพ่อคุณเล่นคว้าโทรศัพท์จากมือผมไปกดตัดสายปิดเครื่องหน้าตาเฉย ไม่ฟังอีร้าค้าอีรมผมที่ยืนอ้าปากค้างอยู่นี่เลย

            "เห้ย
!! น้อย ๆ หน่อย นั่นมือถือกูนะ..." ถึงตรงนี้ก็เริ่มจะมีน้ำโหนิด ๆ แล้วครับ ใครแม่งสอนให้มันทำตัวไม่มีมารยาทแบบนั้นฟะ           
            แต่คำประท้วงไหนก็ดูเหมือนจะไม่สะดุ้งสะเทือนกระดูกค้อน ทั่ง โกลนของปุณณ์ เพราะพี่แกเล่นทำหน้าเฉยสนิทก่อนจัดการโยนไอโฟนลงเตียงอย่างไม่ใยดี ขณะที่ผมอ้าปากหมายจะด่าต่ออีกซักรอบสองรอบ ปุณณ์กลับคว้าตัวผมไปกอดไว้แนบแน่นเสียก่อน

            และผมก็คงจะขัดขืน ถ้าไหล่ของมันไม่ได้สั่นจนน่าตกใจ...............

            "เป็นไรวะปุณณ์
?"
            คนที่กอดผม ทั้งตัวสั่นและเสียงแหบพร่า.. "คืนนี้ให้มีแต่เราก่อนนะ.... อย่าเพิ่งมีคนอื่นเลย..."

            "........................"

            ผมนิ่งมองศีรษะของคนที่กอดผมแน่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย.. ถึงในอกจะรู้สึกโหวงไปหมด แต่ในหัวกลับมีเรื่องราวและความรู้สึกมากมายว่อนไปมาอยู่อย่างประหลาด ผมพยายามจะมองไปบนทางข้างหน้าแต่ก็รู้สึกว่า ผมมองไม่เห็นอะไรนอกจากทางตัน..

            จริง ๆ แล้วในเรื่องนี้ ผมเองต่างหากที่เป็นคนอื่น.. ระหว่างปุณณ์กับผมใช้คำว่า
'เรา' ไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมกับมันไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่ควรเป็นอะไรกัน และไม่มีวันเป็นอะไรกัน ต่อให้ความรู้สึกที่ปุณณ์มีต่อผม หรือผมมีต่อปุณณ์มันจะคืออะไร และมากน้อยเพียงไหน ภาพที่มองเห็นตรงหน้า ก็ยังคงมีแต่ภาพปุณณ์กับเอมที่ควรจะมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่นี้อยู่ดี

            ผมกอดมันกลับด้วยความรู้สึกเจ็บไปทั้งตัวเหมือนคนกอดลูกทุเรียน.. เพราะยิ่งผมกอดมันแน่นเท่าไหร่ ความรู้สึกเจ็บก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเท่านั้น มันเจ็บจนผมไม่แน่ใจว่าจะทนกอดมันได้ไปถึงเมื่อไหร่

            "มึงอย่ามีปัญหากับเอมเพราะกูเลยว่ะ... พูดจริง ๆ" นี่คือคำที่ผมอยากพูดที่สุดในเวลานี้...

            ปุณณ์ส่ายหัวไปมาในอกผม "กูไม่ได้มีปัญหากับเอมเพราะมึง... กูมีเพราะตัวกูเอง.." เสียงมันฟังดูทั้งสั่นเครือและสับสน เหมือนคนจัดการอะไรตัวเองไม่ถูก อ้อมแขนที่กอดผมไว้นั้นกำลังสั่นไหว บอกถึงสภาพจิตใจเจ้าของมันได้เป็นอย่างดี

            และผมไม่ควรทำให้แย่กว่านี้..

            "พวกมึง... มีปัญหาอะไร.. กัน
?" คำถามนี้ต้องการคำตอบ.. แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดกับผม

            "กูมันเหี้ย.... กูมีเอมแล้วแต่ก็ยังมายุ่งกับมึง.."

            "คนเหี้ย ๆ เขาไม่ด่าตัวเองว่าเหี้ยกันหรอก... มา มานั่งคุยกันดี ๆ" ผมว่าพลางถอนหายใจพรูแล้วคลายวงแขนออก เป็นฝ่ายนำมันนั่งลงมานั่งบนเตียงเอง

            ปุณณ์กดปากเม้มแน่น จ้องผ้าปูที่นอนตลอดเวลา ไม่ยอมเงยหน้ามองผม "มึง... กู... ขอโทษว่ะ.."

            "ขอโทษไร พูดมาให้จบ"

            "กูกับเอม........... มีอะไรกันแล้ว.." ในที่สุดคำนี้ก็หลุดมาจนได้... ทั้งที่เป็นคำเดียวกัน แต่เวลาฟังจากปุณณ์มันช่างบาดได้ลึกกว่ายูริหลายสิบเท่า จนผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกน็อคหน้าชา.. นัยน์ตาผมไหวอยู่วูบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปมองหน้ามันต่อดังเดิม "เออ... แล้วไงอีก"

            ปุณณ์สูดลมหายใจลึกอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเงยขึ้นมาสบตาผมเต็มตา "แต่กูก็ยังไม่ห้ามตัวเอง... เวลาอยู่กับมึง.." ดวงตาคมที่มองมา ผมเห็นแต่ความเจ็บปวด... จนบางทีอดคิดไม่ได้ว่า ปุณณ์เองก็คงจะเห็นสายตาแบบเดียวกันจากผมเหมือนกัน

            ริมฝีปากบางนั้นยังคงพูดต่อทั้งที่ผมเริ่มไม่อยากฟังขึ้นไปทุกที ๆ "กูทิ้งเอมไม่ได้ แต่กับมึงกูก็................. กูไม่รู้จะทำยังไง.." ถึงตรงนี้ปุณณ์เริ่มผลุบหน้าลงต่ำ พร้อมขยำผ้าปูที่นอนจนยู่ยี่.. เห็นดังนั้นผมจึงเอื้อมมือตัวเองไปกุมมือมันไว้แผ่ว ๆ

            เพราะผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้ต้องเป็นผมเท่านั้นที่พูดเอง

            "มึงฟังนะ..." นี่คือความพยายามที่ลำบากมากที่สุดในชีวิตผม..

            "เอมเป็นผู้หญิง.. เขาเสียหายแล้ว มึงจะทำงั้นไม่ได้... มึงต้องกลับไปดูแลเขา.... ส่วนกูเป็นผู้ชาย กูไม่มีอะไรเสียหาย" ทั้งที่คิดว่าเป็นแค่คำพูดธรรมดาที่สุดแล้ว แต่ปุณณ์กลับสปริงหัวขึ้นมาราวกับได้ยินเรื่องผีอย่างไงอย่างงั้น

            "โน่.... ไม่พูดต่อ..." เสียงนั้นขู่แกมบังคับผม แต่ผมรู้ดีว่าจะยอมมันไม่ได้.. ความพยายามที่เหนื่อยที่สุดในเวลานี้คือการส่งยิ้มออกไป

            "ไปหาปืนกาวมายิงปากกูเด่ะ... เอาเป็นว่าเรื่องมึงกับกูเฉย ๆ ไปแล้วกัน กูไม่คิดมาก" ผมพูดทั้งรอยยิ้มพลางมองหน้าปุณณ์ที่อ้าปากทำท่าอยากเถียงอยู่แว่บหนึ่ง แต่ไม่มีทางไวกว่าผม "บอกอีกรอบ กูไม่ใช่ผู้หญิง สาดด" จบคำนี้ผมถูกปุณณ์รวบข้อมือไว้ทันที

            "โน่เข้าใจไหมว่ามันไม่เกี่ยว.. ไม่เกี่ยวกับว่าใครเป็นอะไร แต่เกี่ยวกับปุณณ์ทำอะไรลงไปแล้วบ้าง โน่เข้าใจรึเปล่า
!" นัยน์ตาคมนั้นจ้องผมนิ่งจนไม่กล้าหลบตา ผมมองลึกลงไปในลูกแก้วสีดำสนิทคู่นั้นที่หมองจนดูยังไงก็ไม่คุ้น.. ริมฝีปากบางของปุณณ์ยังคงพูดต่อ "ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว.. โน่ไม่พูดได้มั้ยว่าจะไป.."

            แน่นอนว่าผมขืนมือออกจากพันธนาการนั้นพร้อมเสียงหัวเราะที่สู้อุตส่าห์เค้นแทบตาย "ฮะฮะฮะ.. ไอ้ห่า....... มึงอย่ามาทำเป็นพระเอก อยากเป็นอิสลามเมียสี่รึไง" แม้จะรู้สึกเหมือนร่างกายไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรอีก แต่ก็ยังคงมีเรื่องที่ต้องพูดต่อไป..

            "แล้วก็อย่าลืมว่ากูมีแฟนแล้วเหมือนกัน.. ช่วงนี้งานบอลทำกูโคตรยุ่งด้วย ไอ้เอิ้นจะให้
band ช่วยตั้งหลายอย่าง ดังนั้นกูไม่ว่างรับจ็อบเป็นแฟนมึงอีกคนหรอก เหนื่อยย โอทีก็ไม่ได้" ตลกปะครับ... มันไม่ขำหวะ... ผมฝืนหัวเราะให้มันฟังทั้งที่ก้อนน้ำตามาจุกอยู่ตรงคอหอยแล้ว

            ผมอ่านออก ว่าสายตาของปุณณ์ที่มองมาทางผมต้องการจะบอกว่าอะไร
            และผมก็รู้ ว่าปุณณ์อ่านออก.. ถึงสายตานี้ที่ผมต้องการบอกมัน

            เรื่องหลังจากนี้ คงไม่เหลืออะไรให้ปากพูดอีก..

            ผมกับปุณณ์หยุดมองหน้ากันนิ่ง จนเดินมาถึงจุดสุดท้ายของอารมณ์.. ผมยอมรับว่าตัวเองไม่เหลือความอดทนอีกต่อไป

            "ปุณณ์
!" ผมโพล่งชื่อมันออกมาพลางโถมตัวเข้ากอดเจ้าของชื่อนั้นแน่น อ้อมแขนปุณณ์ที่ตอบรับผมเป็นไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ในเวลานี้ผมไม่เหลือความเข้มแข็งอีกต่อไป

            มีแต่เสียงคนเห็นแก่ตัวดังก้องอยู่ในใจว่า ผมไม่อยากปล่อยปุณณ์ไป

            "โน่...
?"

            "มึง...."

            "ว่าไงครับ.."

            "จนกว่าจะเช้า.... อย่าเพิ่งปล่อยกูนะ"



            ตอนเริ่มรักแทบไม่ต้องใช้เวลา... แต่ทำไมพอจะจากลา มันทรมานอย่างนี้ล่ะครับ


อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/hedfuc/story/viewlongc.php?id=436675&chapter=19#ixzz15oH6znaW

นิยาย ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน 18

18th CHAOS

            ไอ้ปุณณ์ขับรถเร็วก็จริงอยู่ แต่กว่าเราทั้งคู่จะเห็นทะเลบางแสนก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว ผมกับมันตัดสินใจจอดรถเข้าข้างทางเพื่อหามื้อดึกกินกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าพวกนักศึกษาแถวนั้นแวะจอดรถอุดหนุนกันเยอะแยะ

            "คนเยอะสงสัยจะอร่อย" นี่คือคำพูดของไอ้สารถี ที่ทำเอาผมยิ้มแป้น เพราะแสดงให้เห็นว่าตรรกะร้านไหนคนเยอะแสดงว่าร้านนั้นอร่อยไม่ได้มีคนคิดแค่ผมคนเดียว หึหึหึ.. ต้องเอากลับไปเย้ยไอ้โอมซักหน่อยแล้วว (มันด่าผมเพี้ยนประจำเวลาผมพูดงี้ครับ ผิดตรงไหนเนี่ย)


            ปุณณ์ดับเครื่องยนต์ลงแล้วเอื้อมมือมาจัดเสื้อกันหนาวผมให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเปิดประตูรถ

            และแล้วการปรากฏตัวของเราสองคนก็ดูยิ่งใหญ่ขึ้นทันใด เมื่อทันทีที่ก้าวขาเข้าร้าน ก็ถูกจับตามองเป็นตาเดียว คงเพราะชุดนักเรียนโชว์ตัวอักษรย่อโรงเรียนซะหรา ประกอบกับกางเกงนักเรียนสีน้ำเงินของผมทำให้ทุกคนในร้านสะดุดตามากกว่าชุดอื่น ๆ... หรือถ้าลองคิดดูดี ๆ อีกทาง..

            ไอ้คนที่มากับผมมันหล่อเกินไป
-_-"...............

            สรุปว่าคงจะสองอย่างรวมกันครับ คนนึงหล่อ คนนึงชุดนักเรียนมัธยม ผสม ๆ ปนกันเข้าเลยกลายเป็นจุดเด่นในที่สุด แน่นอนว่าผมล่ะเกร็งแทบแย่ กับสภาพที่ต้องแวดล้อมด้วยสายตาจากคนแปลกหน้าอย่างนี้ ในขณะที่ปุณณ์ดูสบายดี จนผมดูไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังถูกรุมมองด้วยสายตาจากคนทั้งร้านพุ่งมาที่เราสองคนเป็นทางเดียว
-__-"

            เออ ช่างแม่ง.. อย่าสนใจดีกว่า
-_-"

           
            หลังจากที่ปล่อยให้ปุณณ์และผมยืนหมุนกันไปมาในร้าน เพราะหาที่นั่งไม่เจออยู่สักครู่แล้ว ก็มีบริกรหญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งเข้ามาเชื้อเชิญหาที่นั่งให้พวกเราในที่สุด.. ผมล้มตัวลงกับเก้าอี้แล้วก็ยังงง ๆ ว่าบรรยากาศในร้านนี้ให้อารมณ์แบบไหนกันแน่ ระหว่างร้านข้าวหรือร้านเหล้า เพราะผมเห็นบางโต๊ะก็มีแต่ข้าวไม่มีเหล้า ส่วนบางโต๊ะก็มีแต่เหล้าไม่มีข้าว (อะไรเนี่ย) แล้วก็อดสงสัยอีกไม่ได้ว่า ที่ใส่ชุดนักเรียนมานั่งหน้าตาหรอหราในสถานที่แบบนี้นั้น จะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอออ

            แต่โต๊ะข้าง ๆ ผมที่นั่งกดเบียร์กันทั้งที่ใส่ชุดนักศึกษาอยู่สลอน คือคำตอบ
-_-"....


            โดยไม่ปล่อยให้ผมได้คิดอะไรเพ้อเจ้อนาน เสียงคนสั่งกับข้าวก็ดังขึ้นไม่ไกลจากตัวผมเสียก่อน "เอา...... ยำหนังหมู ลาบ เอ็นข้อไก่ทอด ข้าวเกรียบพริกเผา แล้วก็ไฮเนเก้น
1 ทาวเวอร์" ไอ้สัด....... กูว่าแล้วเมนูมันแปลก ๆ.. ผมรีบเอื้อมมือไปโบกหัวไอ้นักเรียนดีเด่นทันที "กูหิวข้าวมั่งเหอะ สัด!"

            "อ้าววว ยังไม่กินมาอีก
!?"

            "เออ....." ก็จะเอาเวลาที่ไหนไปกินล่ะวะ ตอนเย็นผมมัวแต่นั่งคุยกับยูริเรื่องมันน่ะแหละ กว่าจะกลับถึงบ้านก็เล่นเอาเซ็ง เซ็งแล้วยังต้องเดินเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าเพื่อแบกไปจนถึงบ้านมันนั่นอีก
! จากตอนแรกกะว่าอยากแค่ไปนอนค้างด้วยเฉย ๆ แต่ดันเสือกโดนเจ้าของบ้านยิงยาวมาไกลถึงนี่.... ดวงเดินทางดีชิบหาย

            "สั่งสิ อะ.." เสียงไอ้ปุณณ์บอกพลางยื่นเมนูส่งมาทางผม ทั้งที่มันไม่ได้เปิดเลยสักนิดตอนที่สั่ง สรุปว่าจะเอาไปยึดไว้แต่แรกทำห่าอะไร ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน... ผมเกาหัวตัวเองแกรก ๆ พลางเปิดเมนูเพียงสองวินาทีแล้วปิดฉับ "เอาข้าวผัด... แค่นั้นแหละ"

            "กินไรไม่สร้างสรรค์เลยว่ะโน่" ไอ้ห่านั่นยังมีหน้ามาบ่น เป็นเพราะใครล่ะวะ

            "ก็มึงเสือกสั่งเบียร์ จะให้กูแดกไร ไอ้นี่มันเข้าสุดแล้ว.... เอาตามนี้แหละพี่" ผมว่าพลางยื่นหนังสือเมนูคืนกลับไป บวกกับรอยยิ้มแค่นิดหน่อยก็มากพอจะทำให้พี่สาวคนสวยที่รับออเดอร์ถึงกับเคลิ้มได้แล้ว หึหึ.. บางทีผู้ชายเราก็ต้องหัดบริหารเสน่ห์ตัวเองกันบ้างง

            "ทำเป็นยิ้ม... ตั้งใจยั่วรึไง" อ้าวไอ้นี่.. หาเรื่องไรอีกวะ
!!

            "ยั่วห่าไร... หิวชิบหาย ใครจะกินอิ่มมีสุขเหมือนมึงล่ะ"

            "แน่น้อน...." ฮึ่ม... ตอนยังไม่สนิทกันมันกวนตีนน้อยกว่านี้ใช่ปะคับ... แม่ง.. ไม่น่าเลยกู ผมทำหน้าเซ็งพลางใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะตามดนตรีที่วงของร้านเล่นอยู่

            ร้านนี้มีวงดนตรีสดเล่นด้วยครับ แนวเพลงเป็นแบบฟังสบาย ๆ ตามประสาวงเล็ก ๆ ทั่วไป นับได้อยู่
5 คน ผมเห็นแล้วโคตรคันไม้คันมืออยากจะขึ้นไปแจมด้วยเลยครับ... แต่เออ พูดถึงเรื่องวงดนตรีแล้วนึกออก

            "เมื่อตอนเที่ยงกูไปส่งโครงการงานคริสมาสต์ที่สภาฯมา ไม่เห็นเจอมึง"

            "เอ๋า... ผมไม่ใช่ยามเฝ้าห้องสภาฯนี่หว่า.. เที่ยงก็ไปหาข้าวกินสิครับ
!" สรุปว่าที่ผมถามเมื่อกี้กลายเป็นคำถามโง่ ๆ ไปซะงั้น แม่ง.. อารมณ์เสียว่ะ... ไม่มีอารมณ์จะเถียงกับมันแล้วด้วย คนยิ่งหิว ๆ อยู่

            ผมเบ้ปากพลางแค่นหัวเราะ "เหอะ ๆ.... แล้วกับข้าวคอนแวนต์อร่อยไหมล่ะคุณปุณณ์..." ตั้งใจจะพูดประชดสะเปะสะปะไปงั้น.. แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะสะอึกไปจริง ๆ

            "ก็ดี......." ปุณณ์ตอบผมสั้น ๆ ก่อนจะเงียบเสียงไป นำให้คิ้วทั้งสองข้างของผมเลิกขึ้นสูงอย่างใช้ความคิด... เอมคงจะรู้เรื่องนั้นเมื่อตอนบ่ายที่ปุณณ์ออกไปกินข้าวด้วยสินะ

            "กูเจอน้องมึงที่คอนแวนต์ด้วย... ไอ้ตี๋น่ะ" เสียงไอ้ปุณณ์เริ่มชวนคุยต่อพลางเอื้อมรับเมนูแรกที่เป็นยำหนังหมูจากพี่พนักงานเสิร์ฟคนนั้นมาด้วย กลิ่นเปรี้ยวจากมะนาวโชยผ่านเตะจมูกผมทำเอาน้ำลายสอเพราะตอนนี้กำลังเริ่มหิวจัด

            ผมยกส้อมขึ้นหมายจะจิ้มหนังหมูพลางพูดต่อ "เออ ไอ้เป้อมันฝากท้องไว้กับสาวแถวนั้นประจำแหละ" แต่เพราะพูดไปตักไปความเร็วมือเลยช้ากว่าไอ้แสบปุณณ์ที่ดันเสือกจงใจเขี่ยชิ้นที่ผมหมายปองไว้ได้ แล้วเอาขึ้นไปจิ้มเข้าปากมันเองเสร็จสรรพ "สัด..." ขอด่าหน่อยเหอะ

            "เออ ก็อยากจะบอกเหมือนกันว่าเจอทุกครั้งที่ไป ฮ่า ๆ" มันว่าพลางเคี้ยวชิ้นที่ควรจะเป็นของผมตุ้ย ๆ แต่รอไม่นานนักกับข้าวจานอื่นก็ทยอยเข้ามาพร้อม ๆ กับทาวเวอร์เบียร์ที่ปุณณ์สั่ง "เด็กชมรมกูก็ต้องเนื้อหอมเหมือนประธานชมรมมันเป็นธรรมดา" ผมได้ทีเกทับมัน จนมันต้องส่งเสียงหัวเราะหึหึกลับมา

            "แต่ไม่เท่ากูหรอกมั้ง.." อืมม กล้าพูดดดนะไอ้ปุณณณ์ ผมเหลือบตามองมันพลางยักคิ้วข้างนึงล้อ ๆ

            "กูก็ว่า.... พี่สาวโต๊ะข้างหลังจะแดกมึงอยู่แล้วหวะ" เพราะผมเห็นมาตั้งนานแล้วว่านักศึกษาสาวโต๊ะข้าง ๆ จ้องเพื่อนผมตาเป็นมัน แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจซะเพราะแบบนั้นคงปลอดภัยมากกว่า

            "ข้างหลังมึงก็จะแดกมึงว่ะ..." ไอ้ปุณณ์โต้กลับมายิ้ม ๆ แต่ผมว่าไม่ต้องพูดจะดีกว่านะ เหอะ ๆๆ ผมยักไหล่ไม่สนใจคำพูดมันก่อนจะยื่นกดเบียร์ใส่แก้วตัวเองจากหลอดสูงเพื่อล้างปากก่อนหน่อยซักยกหนึ่ง


            ฟองเบียร์ที่เริ่มฟูปีนขอบแก้วทำให้ผมต้องยกมาดื่มเพื่อกันไม่ให้หก ก่อนจะรู้สึกเศร้าหนึบ ๆ ตรงอกข้างซ้ายขึ้นมาแปลก ๆ...

            ผมไม่เคยชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย.. มันเหมือนมีอะไรมาติดถ่วงเอาไว้ ให้ผมหัวเราะไม่ออก ยิ้มได้ไม่เต็มที่.. แม้ว่าจะพยายามพูดจากวนตีนปุณณ์มั่ง ด่าปุณณ์มั่ง ให้ดูเหมือนคนปกติทุกอย่าง แต่ในใจลึก ๆ จริง ๆ แล้ว ทั้งหมดที่ผมทำออกไปเป็นเพียงแค่หน้ากากที่ถูกสร้างขึ้นมาบดบังความเศร้าไว้เท่านั้น.. ผมปิดมันไว้ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่ายังไงก็ไม่มีทางหนีไปไหนได้ แต่อย่างน้อย ๆ ขอแค่ในเวลานี้ ผมได้หลอกตัวเองว่าผมยังสบายดีก็พอ

            บทสนทนาบนโต๊ะเราเงียบลงเมื่อปุณณ์เพียงนั่งจิบเบียร์อยู่เงียบ ๆ ไม่ได้กวนประสาทอะไรต่ออีก... ผมลอบมองดวงตาคมคู่นั้นที่ดูทั้งหม่นหมองและเหม่อลอยพิกล จนบางทีก็อยากจะรู้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่

            ผมไพล่นึกไปถึงจูบของปุณณ์บนรถที่ดูทั้งหงอยเหงาและเว้าวอนเหลือเกิน.. ไม่รู้เป็นแค่ผมที่คิดมากไปเองหรือเปล่าว่าอีกฝ่ายก็ดูมีเรื่องในใจมากมายไม่แพ้กัน


            ทำนองเศร้าของเพลง
thank you ดังคลอระหว่างผมยกเบียร์ขึ้นกระดกแก้วแล้วแก้วเล่า จนดูผ่าน ๆ เหมือนกับลุงแก่ที่โดนเจ้านายหักเงินเดือน เลยแวะมาดื่มย้อมใจยังไงยังงั้น (พบเห็นได้บ่อย ๆ ตามลานเบียร์) ซึ่งไอ้ปุณณ์ก็คงสังเกตเห็นพฤติกรรมนั้นอยู่เหมือนกันถึงได้คว้าข้อมือผมเอาไว้ทันก่อนจะซดแก้วที่ห้าลงคอแบบ non-stop hits

            "เฮ้ย
!! ท้องว่างไม่ใช่รึไง! ดื่มแบบนั้นกระเพาะแหกพอดี" เป็นไปตามคาด.. มันโวยใส่ผมพลางยึดแก้วเบียร์ไปจากมือโดยละม่อม.. หึหึ.. ได้ข่าวว่ามึงเป็นคนสั่งมาเองแท้ ๆ แต่พอกูจะกินเสือกห้าม หึหึ.. ไอ้เวร..

            ผมยักไหล่ด้วยท่าทางกวนตีนที่สุดกลับไปหามัน แล้วคว้าแก้วน้ำเปล่ามาดื่มตามเพื่อล้างคอ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับข้าวผัดชามใหญ่ ขณะที่ปุณณ์ก็แลดูมีความสุขดีกับเอ็นข้อไก่ทอด

            "วันนี้ยูริบุกมาหากูถึงโรงเรียน ตกใจหมดเลย" ผมเริ่มพูดทำลายความเงียบบนโต๊ะ (ที่มีแต่เสียงเพลงจากวงดนตรี) จนแอบเห็นมันสะดุ้งนิดหน่อย น่าสงสัยว่าอีกฝ่ายคงกำลังเหม่ออยู่

            นัยน์ตาของปุณณ์วูบไหวไปครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ริมฝีปากยิ้มกลับมาเหมือนเคย "เหรอ... เออ เป็นไงอะ"

            "มึงออกกฏปราบเกรียนโรงเรียนเรามั่งเด่ะวะ
! เห็นผู้หญิงขาว ๆ ญี่ปุ่นหน่อยเป็นไม่ได้... กูโผล่ไปหายูริช้ากว่านั้นหน่อยน่ากลัวจะโดนลากเข้าข้างทางว่ะ" ผมบ่นเป็นชุดไปพลางพุ้ยข้าวในแก้มไปพลาง ได้ยินเสียงหัวเราะของไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแว่วดังมาเป็นระยะ ๆ

            "ด่าคนอื่นเค้าเกรียน.. หัวมึงขนเยอะตายล่ะ" อ้าวไอ้สาดดดดด ด่ากูไม่ว่าแต่เสือกตบเหม่งด้วยนี่มีเฮ

            แน่นอนว่าผมปัดมือมันทิ้ง "ของกูเค้าเรียกสกินเฮดเว้ย สาดดด"

            "มึงเมายาคุมเหรอ สกินเฮดพ่อมึงสิเป็นงี้... แล้วอยู่ดี ๆ พูดเรื่องยูริทำไม" นั่นสิวะ.. ผมพูดทำไม.. ไม่อยากบอกเลยว่าจริง ๆ ที่ยูริมาก็เกี่ยวกับมึงทั้งนั้นนั่นแหละ

            "ไม่รู้ว่ะ แล้วมึงกับเอมเป็นไงมั่ง..." ทางที่ดีต้องรีบปัดออกให้พ้นตัวจะฉลาดกว่า.. จริง ๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจถามกินนัยอะไรปุณณ์มากมาย แต่ดูเหมือนมันสะอึกอุก

            "ก็ไม่เป็นไง..........." เสียงเบา ๆ ของปุณณ์ตอบมาว่าอย่างนั้น ก่อนที่มันจะเว้นระยะคำพูดต่อไปอยู่พักหนึ่ง... "ยังสวยหล่อเหมือนเคย" หื้ม ไอ้สาดดดดดดดดดดดด กูจะเริ่มเกลียดมึงก็ตอนนี้แหละ

            ผมไม่รู้จะด่ามันต่อว่าอะไรดี (เสือกจะเป็นความจริงอีก) เลยแกล้งทำเป็นสำลักข้าว ยกน้ำ(เปล่า)มาซด แล้วชูนิ้วกลางให้มันดูเป็นขวัญตาอย่างนั้น เหอะ ๆ เห็นมันหัวเราะตาหยียกใหญ่เหมือนกำลังถูกใจแล้วก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้หนักขึ้นกว่าเดิม

            เดี๋ยวพ่อเอาจิ้มตาแม่งเลย

            ผมวางแก้วที่น้ำหมดเกลี้ยงในมือลงก่อนจะหยิบช้อนส้อมเพื่อโซ้ยต่อ แต่แล้วกลับมีคำพูดหนึ่งหลุดออกมาจากปากของผมเอง

            "ก็ดี... กูล่ะกลัวใจมึงจะได้หลังแล้วลืมหน้า ฮ่า ๆๆๆ" หัวเราะครับ... ผมหัวเราะ... ทั้ง ๆ ที่แม่งไม่ได้น่าขำสักเท่าไหร่..... เอาจริง ๆ คือผมไม่ขำเลย สิ่งที่ทำได้มีเพียงส่งเสียงหัวเราะฮ่า ๆ ส่งเดชไป ทั้งที่ในใจรู้สึกแปลบไปหมดเหมือนมีมีดพันเล่มปักอยู่ตามขั้วหัวใจ

            ยิ่งผมหัวเราะดังเท่าไหร่ ก็แสดงว่าผมสมเพชตัวเองมากเท่านั้น... แค่นั้นเอง



            "หึหึ......" ปุณณ์แค่นหัวเราะตามผมก่อนจะเอี้ยวตัวไปกดเบียร์เพิ่มแก่แก้วมันที่พร่องลงไปเยอะแล้ว

            แต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับไม่แสดงความรู้สึกอะไรขณะที่พูดคำต่อมา

            "ไม่หรอก..."


            ผมรู้สึกเจ็บปลาบตั้งแต่ปลายเท้าลามถึงหัวใจเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ก่อนจะยักคิ้วข้างหนึ่งอย่างคนที่ยอมรับมัน..

            ก็บอกแล้วว่าที่เฮงซวยน่ะ... ตัวผมเอง


อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/hedfuc/story/viewlongc.php?id=436675&chapter=18#ixzz15oGseRLW

นิยาย ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน 17

17th CHAOS
            "ขอร้องนะโน่... เอมเครียดมาก... ช่วยบอกยูได้ไหมว่าเมื่อวานปุณณ์นอนกับใคร"
            คำ ๆ นี้ยังวนเวียนไปมาในหัวผมไม่ยอมหยุด... แม้จะกลับมาถึงบ้าน ลองเอามือก่ายหน้าผากอย่างที่เห็นพระเอกในทีวีเขาทำกัน แต่ไอ้ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวก็ยังไม่หาย..

            "หมู่นี้ปุณณ์กับโน่ชอบหายไปติดต่อไม่ได้บ่อย ๆ เอมเขาเครียดมากรู้มั้ย... ส่วนยูไม่เป็นไรหรอก แต่ยูเป็นห่วงเพื่อน"

           
"โน่ไม่บอกยูว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เป็นไร... แต่ช่วยบอกปุณณ์ได้ไหมว่าเอมเสียใจมาก บอกให้เขาไม่ทำแบบนั้นอีกได้ไหม... ปุณณ์กับเอมเป็นแฟนกันนะ ทำไมมีอะไรปุณณ์ไม่มาหาเอม ทำไมต้องไปหาผู้หญิงอื่น ปุณณ์เห็นเอมเป็นอะไรไปแล้ว"

            สองตาของผมหลับสนิทราวกับต้องการหลีกหนีจากความจริง... แต่จะให้ผมหนีมันพ้นได้ยังไง ในเมื่อความจริงเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังมองเห็น แต่เป็นถ้อยคำที่ก้องดังในหัวผมตลอดเวลาต่างหาก

            "ถุงยางที่ปุณณ์เคยพกไว้ในกระเป๋าสตางค์หายไป... โน่... ปุณณ์กับเอมเขาไม่เหมือนพวกเรานะ... เขาเป็นของกันและกันแล้ว... ปุณณ์จะทำเหมือนผู้หญิงเราเป็นของเล่นแบบนี้ไม่ได้ ยูไม่ยอม"

            "แม่งเอ๊ย
!!!!!!!!!!!!!!"
ผมสบถกับตัวเองเสียงลั่นพลางปาหมอนที่หนุนอยู่จนกระแทกอีกฝั่งห้อง หวังให้เสียงนั้นดังกลบถ้อยคำของยูริ ที่ยังคงย้อนวนไปวนมาราวกับมีใครกรอเทปซ้ำ ๆ ให้ผมฟังในหัว

            ผมไม่ได้โกรธยูริที่เอาเรื่องพวกนี้มาขอร้อง ไม่ได้โกรธเอมที่เสียใจนั่งร้องไห้ฟูมฟาย ไม่ได้โกรธแม้กระทั่งปุณณ์ ที่เคยมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับเอม

            ที่ผมรู้สึกคือ ผมเกลียดตัวเอง เป็นเพราะผมเองที่ทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นแบบนี้ ไอ้คนไม่มีความรับผิดชอบชั่วดีน่ะมันตัวผมเอง

            "เหี้ย....." เสียงก่นด่าตัวเองดังขึ้นอีกครั้งขณะที่ผมเดินสะเปะสะปะไปรอบห้อง คว้าเอาข้าวของเครื่องใช้จำเป็นทั้งหมดยัดใส่กระเป๋าเป้โรงเรียนใบสีดำหม่น


            มันจะต้องจบ.. ไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม..

***


            ในรอบ
7 วัน ผมโผล่มาบ้านหลังนี้เกิน 8 ครั้งรึยังวะ.. ผมคิดพลางแหงนมองบ้านหลังใหญ่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า ก่อนจะสูดหายใจเฮือกหนึ่งแล้วตัดสินใจกดออดลงไป

            เป็นป้าน้อยเช่นเคยที่กุลีกุจอรีบวิ่งมาเปิดประตูให้ผม เธอคลี่ยิ้มอ่อนโยนพลางอาสาช่วยถือเป้เข้าบ้านอย่างแข็งขัน แต่ขืนผมปล่อยให้คนแก่ถือของให้ก็อย่าเรียกว่าผู้ชายเลยครับ ขอผมถือเองดีกว่า
^^"

            ป้าน้อยถอนหายใจยาวเพราะผมดื้อไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากแก ก่อนจะบอกว่า "คุณปุณณ์อยู่บนห้องแหละค่ะคุณโน่ ขึ้นไปได้เลย เดี๋ยวป้าไปเรียนคุณแป้งให้เองว่าคุณโน่มา" เอ๊ะ... แล้วทำไมต้องบอกแป้งด้วยล่ะป้า -_-"... เออ ผมเกือบลืมไป ว่าทุก ๆ ครั้งที่มาบ้านหลังนี้ ผมมาในฐานะอะไร

            ทุเรศตัวเองจริง ๆ... กะอีแค่เงินสองหมื่นบาทต้องเป็นจุดกำเนิดเรื่องเหี้ย ๆ พวกนี้เลยรึไง


            เป้ปักสัญลักษณ์ตราโล่ (ไม่ได้ใช้ตั้งแต่ขึ้นม.
3 แล้ว) ถูกลากผ่านไม้ปาร์เก้เนื้อดีจนถึงหน้าประตูห้องที่ผมคุ้นเคย... ไอเย็นพวยพุ่งจากใต้ประตูบานนั้นบ่งบอกว่าเจ้าของห้องหมกตัวเปิดแอร์อยู่ตามปกติ ไม่ได้ผิดจากที่คิดแม้แต่น้อย

            แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เคาะประตูเรียกลงไปดี เสียงโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้นก่อน

           
'ใครจะไปดีได้ทุกชั่วโมง ก็เรามันคนไม่ใช่ละครทีวี~'

          ไอ้ห่านี่สงสัยจะมีพลังจิต...
         
"โทรมาไม กูอยู่หน้าห้องมึง......." สั้น ง่าย ได้ใจความ... เล่นเอาปลายสายถึงกับรีบกดวางหูไป ก่อนจะกระชากประตูห้องตัวเองทันที "เฮ้ย!?"

            "ตกใจไร เชี่ย... มึงดูหนังโป๊อยู่เหรอ" ผมไม่สนใจใบหน้าอันหรอหราของมันแต่กลับเดินผ่านปุณณ์เข้าไปข้างในหน้าตาเฉย จัดแจงโยนเป้โรงเรียนกองไว้มุมห้อง แล้วสาวเท้าไปหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้อยู่

            ผมทำเป็นแซวแก้เซ็งไปอย่างนั้นแหละ จริง ๆ มันเปิด
msn อยู่... ทันทีที่ผมล้มตัวนั่งบนเก้าอี้ ก็เห็นเอมกำลังพิมอะไรบางอย่างผ่านทางโปรแกรมแชทนี้มาพอดี

           
Aim : ยูริออนแล้วเรียกด้วยจ้ะ พูดว่า:
              ปุณณ์ยังรักเอมอยู่ใช่ไหมคะ
?

            ตัวอักษรสีชมพูนั้นบาดลึกลงไปถึงกลางใจผม แต่กลับต้องพยายามฝืนหัวเราะให้.. น่าขำที่เอมช่างถามอะไรเพี้ยน ๆ ไปได้....... เพราะถ้าปุณณ์ไม่ได้รักเอมจะให้ไปรักใคร...

            ผมยอมรับว่าในเวลานี้ การจะยิ้มแต่ละทีมันช่างยากลำบากเหลือเกิน

            ภาพดิสเพลย์ของเอมเป็นรูปทั้งคู่ถ่ายด้วยกันโชว์หรา ราวกับจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าเขารักกันขนาดไหน ผมจ้องมองภาพนั้นพักหนึ่งแล้วกลับมาพิจารณาตัวเองว่าเราเป็นใคร.. ก่อนจะตัดสินใจพรมนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ เพื่อบอกอะไรเอมบางอย่าง..

           
SuperPunn พูดว่า:
              อยู่แล้ว


            "เฮ้ยโน่
!!!! นี่มันอะไรวะ!!?" เสียงไอ้ปุณณ์โวยวายดังจากมุมห้องทำเอาผมสะดุ้งเฮือกจนต้องรีบหันกลับไปมอง เห็นมันกำลังยกกระเป๋าเป้ผมมาพลิกดูไปมาอย่างพิจารณาอยู่

            "ผ้าอาบน้ำฝนมั้ง... ห่า.." ถามมาได้ ตาก็ไม่บอด... ผมด่ามันพลางหันกลับมาจะเล่น
msn ต่อ.. ตอนนี้ผมจัดการ log off เมลล์มันและ log in เมลล์ผมแทนเรียบร้อยแล้ว ส่วนไอ้เรื่องขออนุญาตเจ้าของก่อนน่ะฝันไปเถอะ!

           
'โป๊ก!!'
            "โอ๊ย
!!!!!!!" แม่งเคาะหัว!!!!!

            "ถามดี ๆ เสือกตอบกวนตีน.... นั่น.. sign out เมลล์กูอีก... ตกลงมึงเอากระเป๋ามาทำไม จะหนีตามกูรึไง" แต่กูว่ามึงกวนตีนกว่า... ผมคิดในใจพลางลูบหัวที่โดนเคาะอย่างเคือง ๆ "เออ พากูไปที่ไหนก็ได้"

            "เอาจริงปะ..." ไม่อยากจะเชื่อว่าแม่งเชื่องมาก เพราะทันทีที่ผมพูดจบ ปุณณ์ก็เอื้อมมาหยิบกุญแจรถที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะคอมอย่างไว จนผมต้องรีบฉกกลับมาไว้ในมือตัวเองก่อน "เฮ้ย
! บ้าจี้จังวะ พูดเล่น!"

            "ก็ถ้าอยากไปจะพาไปไง บางแสนมะ ใกล้ ๆ
?" ปุณณ์ทำท่าคิดหนัก แต่ผมนั้นหนักใจมากกว่า ไม่คิดว่าแม่งจะบ้าจี้ขนาดนี้ "ตลก ๆๆ ไปได้ที่ไหน พรุ่งนี้บราเดอร์ศักดาเทสต์ย่อยห้องกู"

            แต่คำตอบที่ได้รับกลับมานั้น กลายเป็นรอยยิ้มจากปุณณ์ มันยิ้มไม่พอยังยักคิ้วให้ผมอีก ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อคลุมกันหนาวจากตู้เสื้อผ้าออกมาสองตัว "เดี๋ยวตอนเช้าพาไปส่งให้ทันสอบ... มาเร็ว
!"

            ปุณณ์ไม่พูดเปล่ายังแบกเอาเป้ผมขึ้นหลังแล้วลากแขนให้ตามออกไปอีก อย่างงี้ไม่ให้โวยวายยังไงไหวล่ะวะ "เฮ้ย
!!! ปิดคอม ปิดแอร์ ปิดไฟก่อน!" แน่นอนว่ามันไม่เห็นสนใจฟัง

            "เดี๋ยวก็มีคนมาปิดให้เองแหละน่า..." ไอ้คนขี้บังคับพูดพลางเดินผิวปากนำผมไปอย่างอารมณ์ดี ขณะที่มืออีกข้างก็ยังลากข้อมือผมไปด้วยไม่ยอมปล่อย ผมเห็นไอ้ปุณณ์ยิ้มร่ามากขึ้นเมื่อลงบันไดมาเจอป้าน้อยงก ๆ เงิ่น ๆ เดินผ่าน "ป้าน้อย ผมออกไปเที่ยวกับโน่นะ"

            แต่ยังไม่ทันที่ป้าน้อยจะตอบอะไรดี ก็มีใบหน้าซุกซนโผล่มาจากด้านหลังป้าน้อยเสียก่อน

            "ไปไหนอะพี่ปุณณ์
!!!" -_-"..... น้องแป้งครับ โผล่มาจากไหน (ตกใจหมด นึกว่าผี) ดึกแล้วทำไมไม่นอน (เดี๋ยวตีเลย) -_-" ถึงตอนนี้ผมจะมีความสัมพันธ์กับปุณณ์อย่างที่น้องแป้งหวังเรียบร้อยแล้ว แต่เอาเข้าจริง ๆ แม่งยังไม่ชินแหะ..

            "พาพี่โน่ไปเที่ยวน่ะ ไว้จะซื้อขนมมาฝากนะ" ปุณณ์ตอบน้องมันพลางขยี้หัวอย่างเอ็นดู ถ้าเป็นผมคงต่อยพี่ชายคว่ำไปแล้ว (เล่นหัวอยู่ได้) แต่น้องแป้งกลับยิ้มกว้างงง จนผมผวาวาบเพราะพอจะรู้ว่าเธอคิดอะไร
-_-"

            "อื้อ... ดูแลพี่โน่ดี ๆ นะ" ห้ามบ้างไรบ้างก็ได้ครับแป้ง
!! พรุ่งนี้พวกพี่มีเรียนนะ!!!

            แน่นอนว่าเมื่อไร้คนขัดใจแล้ว ไอ้ปุณณ์ก็ลากผมเดินผิวปากไปอย่างสบายใจยิ่งกว่าเดิม
TT___TT



            ปุณณ์พาผมมาจนถึงรถเก๋ง
2 ประตูของมัน แล้วส่งเสื้อคลุมกันหนาวให้ตัวนึง "อะ เอาไปคลุม เดี๋ยวสารวัตนักเรียนจับหวะ" มันพูดติดตลกเพราะตอนนี้ผมยังใส่ชุดนักเรียน โชว์กางเกงสีน้ำเงินหราอยู่เลย "เออไอ้สัด ให้กูเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ไม่ได้"

            มันหัวเราะรับคำบ่นนั้นพลางเอื้อมมือจะเปิดประตูให้นั่ง แต่อย่าหวังว่าไอ้โน่จะยอม (เหอ ๆๆ) ผมคว้าประตูได้ก่อนมันก็เปิดเข้าไปนั่งเองเลย แว่วยินเสียงไอ้ปุณณ์หัวเราะขำ (ขำเชี่ยไรของมัน) ก่อนจะวนไปนั่งทางฝั่งคนขับเองบ้าง "มึงนั่นแหละ มาหากูจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ไม่ได้เนอะ"


            ผมฟังประโยคนั้นแล้วก็ได้แต่เงียบ...
            จริงของมัน........ ผมรีบจริง ๆ นั่นแหละ.... สำหรับผม วันนี้ผมอยากใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด..


            ปุณณ์สตาร์ทรถพลางมองหน้าผมล้อ ๆ "คิดถึงรึไงครับ"

            "............................." ผมนิ่ง ไม่ได้ตอบคำถาม.. หรือถึงอยากพูดอะไรตอบก็คงไม่ทัน เมื่อท่อนแขนแกร่งพาดมาโอบรั้งไหล่ผมไว้ ให้เข้าไปใกล้เจ้าของแขนท่อนนั้นเสียก่อน

            ปุณณ์ประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากผมแน่นราวกับจะส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่ปุณณ์มีผ่านมาทางจูบนี้.. "คิดถึงจังเลย วันนี้ไม่เห็นเจอ แวะไปหาที่ชมรมก็ไม่อยู่"

            "ไปมาตอนไหนวะ" ผมเบี่ยงหน้าหลบมันนิดหน่อย แต่อีกฝ่ายยังคงตามมาหอมแก้มได้ไม่ยอมหยุด "ตอนเย็น... ไปแล้วเจอแต่น้องม.
4 หน้าตี๋ ๆ บอกว่าถูกโน่ใช้เฝ้าห้องชมรม"

            "ไอ้เป้อ... น่ะ.." ผมตอบพลางผลุบสายตาลงต่ำ.... เพราะรู้ตัวเองดีว่าตอนเย็นที่หายไปนั้น ผมออกไปทำไม และคุยเรื่องอะไร....

            ปลายจมูกโด่งของปุณณ์คลอเคลียไปเรื่อยเช่นเดียวกับริมฝีปาก จนสุดท้ายมาหยุดตรงปากผมเนิ่นนาน.... นานจนต้องผลักออก "จะไปมั้ย บางแสน..."

            "เออว่ะ.. อยู่กันแบบนี้ต้องไม่ได้ไปไหนแน่เลย" มันว่าพลางขำ ก่อนจะปล่อยให้ผมเขยิบตัวกลับมานั่งข้างเบาะคนขับได้อย่างอิสระเหมือนเดิม

            "แล้วเดินไปเดินมานี่ไม่เจ็บแล้วรึไง หึ๊
?" เสียงปุณณ์ถามขึ้นอีกครั้งเมื่อจอดรถรอเลี้ยวออกจากซอยหน้าถนนทองหล่อ ผมยักคิ้วให้กับคำถามนั้นเรียบ ๆ "ก็ดีขึ้นเยอะ ขืนนอนเฉย ๆ ทั้งวันมีหวังง่อยแดก.. มึงอะ"

            "ยาแก้ปวดช่วยได้..." ปุณณ์พูดพลางหัวเราะหึหึจนผมต้องหัวเราะตาม มันยื่นมือมาคว้ามือผมไปจับไว้บนเกียร์พลางใช้นิ้วชี้เขี่ยหลังมือผมเล่นช้า ๆ

            "เอ... งั้นคืนนี้ก็ต่อได้แล้วสิ" ทำเสียงซะแอ๊บแบ๊ว แต่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ดีว่าไอ้ห่านี่ทำหน้าหื่นแบบไหนอยู่


            ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เห็นแสงไฟสีส้มเรียงแถวเป็นแนวยาวตลอดสองข้างทาง


            "อืม...."


อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/hedfuc/story/viewlongc.php?id=436675&chapter=17#ixzz15oGeWvQl