วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นิยาย ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน 18

18th CHAOS

            ไอ้ปุณณ์ขับรถเร็วก็จริงอยู่ แต่กว่าเราทั้งคู่จะเห็นทะเลบางแสนก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว ผมกับมันตัดสินใจจอดรถเข้าข้างทางเพื่อหามื้อดึกกินกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าพวกนักศึกษาแถวนั้นแวะจอดรถอุดหนุนกันเยอะแยะ

            "คนเยอะสงสัยจะอร่อย" นี่คือคำพูดของไอ้สารถี ที่ทำเอาผมยิ้มแป้น เพราะแสดงให้เห็นว่าตรรกะร้านไหนคนเยอะแสดงว่าร้านนั้นอร่อยไม่ได้มีคนคิดแค่ผมคนเดียว หึหึหึ.. ต้องเอากลับไปเย้ยไอ้โอมซักหน่อยแล้วว (มันด่าผมเพี้ยนประจำเวลาผมพูดงี้ครับ ผิดตรงไหนเนี่ย)


            ปุณณ์ดับเครื่องยนต์ลงแล้วเอื้อมมือมาจัดเสื้อกันหนาวผมให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเปิดประตูรถ

            และแล้วการปรากฏตัวของเราสองคนก็ดูยิ่งใหญ่ขึ้นทันใด เมื่อทันทีที่ก้าวขาเข้าร้าน ก็ถูกจับตามองเป็นตาเดียว คงเพราะชุดนักเรียนโชว์ตัวอักษรย่อโรงเรียนซะหรา ประกอบกับกางเกงนักเรียนสีน้ำเงินของผมทำให้ทุกคนในร้านสะดุดตามากกว่าชุดอื่น ๆ... หรือถ้าลองคิดดูดี ๆ อีกทาง..

            ไอ้คนที่มากับผมมันหล่อเกินไป
-_-"...............

            สรุปว่าคงจะสองอย่างรวมกันครับ คนนึงหล่อ คนนึงชุดนักเรียนมัธยม ผสม ๆ ปนกันเข้าเลยกลายเป็นจุดเด่นในที่สุด แน่นอนว่าผมล่ะเกร็งแทบแย่ กับสภาพที่ต้องแวดล้อมด้วยสายตาจากคนแปลกหน้าอย่างนี้ ในขณะที่ปุณณ์ดูสบายดี จนผมดูไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังถูกรุมมองด้วยสายตาจากคนทั้งร้านพุ่งมาที่เราสองคนเป็นทางเดียว
-__-"

            เออ ช่างแม่ง.. อย่าสนใจดีกว่า
-_-"

           
            หลังจากที่ปล่อยให้ปุณณ์และผมยืนหมุนกันไปมาในร้าน เพราะหาที่นั่งไม่เจออยู่สักครู่แล้ว ก็มีบริกรหญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งเข้ามาเชื้อเชิญหาที่นั่งให้พวกเราในที่สุด.. ผมล้มตัวลงกับเก้าอี้แล้วก็ยังงง ๆ ว่าบรรยากาศในร้านนี้ให้อารมณ์แบบไหนกันแน่ ระหว่างร้านข้าวหรือร้านเหล้า เพราะผมเห็นบางโต๊ะก็มีแต่ข้าวไม่มีเหล้า ส่วนบางโต๊ะก็มีแต่เหล้าไม่มีข้าว (อะไรเนี่ย) แล้วก็อดสงสัยอีกไม่ได้ว่า ที่ใส่ชุดนักเรียนมานั่งหน้าตาหรอหราในสถานที่แบบนี้นั้น จะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอออ

            แต่โต๊ะข้าง ๆ ผมที่นั่งกดเบียร์กันทั้งที่ใส่ชุดนักศึกษาอยู่สลอน คือคำตอบ
-_-"....


            โดยไม่ปล่อยให้ผมได้คิดอะไรเพ้อเจ้อนาน เสียงคนสั่งกับข้าวก็ดังขึ้นไม่ไกลจากตัวผมเสียก่อน "เอา...... ยำหนังหมู ลาบ เอ็นข้อไก่ทอด ข้าวเกรียบพริกเผา แล้วก็ไฮเนเก้น
1 ทาวเวอร์" ไอ้สัด....... กูว่าแล้วเมนูมันแปลก ๆ.. ผมรีบเอื้อมมือไปโบกหัวไอ้นักเรียนดีเด่นทันที "กูหิวข้าวมั่งเหอะ สัด!"

            "อ้าววว ยังไม่กินมาอีก
!?"

            "เออ....." ก็จะเอาเวลาที่ไหนไปกินล่ะวะ ตอนเย็นผมมัวแต่นั่งคุยกับยูริเรื่องมันน่ะแหละ กว่าจะกลับถึงบ้านก็เล่นเอาเซ็ง เซ็งแล้วยังต้องเดินเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าเพื่อแบกไปจนถึงบ้านมันนั่นอีก
! จากตอนแรกกะว่าอยากแค่ไปนอนค้างด้วยเฉย ๆ แต่ดันเสือกโดนเจ้าของบ้านยิงยาวมาไกลถึงนี่.... ดวงเดินทางดีชิบหาย

            "สั่งสิ อะ.." เสียงไอ้ปุณณ์บอกพลางยื่นเมนูส่งมาทางผม ทั้งที่มันไม่ได้เปิดเลยสักนิดตอนที่สั่ง สรุปว่าจะเอาไปยึดไว้แต่แรกทำห่าอะไร ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน... ผมเกาหัวตัวเองแกรก ๆ พลางเปิดเมนูเพียงสองวินาทีแล้วปิดฉับ "เอาข้าวผัด... แค่นั้นแหละ"

            "กินไรไม่สร้างสรรค์เลยว่ะโน่" ไอ้ห่านั่นยังมีหน้ามาบ่น เป็นเพราะใครล่ะวะ

            "ก็มึงเสือกสั่งเบียร์ จะให้กูแดกไร ไอ้นี่มันเข้าสุดแล้ว.... เอาตามนี้แหละพี่" ผมว่าพลางยื่นหนังสือเมนูคืนกลับไป บวกกับรอยยิ้มแค่นิดหน่อยก็มากพอจะทำให้พี่สาวคนสวยที่รับออเดอร์ถึงกับเคลิ้มได้แล้ว หึหึ.. บางทีผู้ชายเราก็ต้องหัดบริหารเสน่ห์ตัวเองกันบ้างง

            "ทำเป็นยิ้ม... ตั้งใจยั่วรึไง" อ้าวไอ้นี่.. หาเรื่องไรอีกวะ
!!

            "ยั่วห่าไร... หิวชิบหาย ใครจะกินอิ่มมีสุขเหมือนมึงล่ะ"

            "แน่น้อน...." ฮึ่ม... ตอนยังไม่สนิทกันมันกวนตีนน้อยกว่านี้ใช่ปะคับ... แม่ง.. ไม่น่าเลยกู ผมทำหน้าเซ็งพลางใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะตามดนตรีที่วงของร้านเล่นอยู่

            ร้านนี้มีวงดนตรีสดเล่นด้วยครับ แนวเพลงเป็นแบบฟังสบาย ๆ ตามประสาวงเล็ก ๆ ทั่วไป นับได้อยู่
5 คน ผมเห็นแล้วโคตรคันไม้คันมืออยากจะขึ้นไปแจมด้วยเลยครับ... แต่เออ พูดถึงเรื่องวงดนตรีแล้วนึกออก

            "เมื่อตอนเที่ยงกูไปส่งโครงการงานคริสมาสต์ที่สภาฯมา ไม่เห็นเจอมึง"

            "เอ๋า... ผมไม่ใช่ยามเฝ้าห้องสภาฯนี่หว่า.. เที่ยงก็ไปหาข้าวกินสิครับ
!" สรุปว่าที่ผมถามเมื่อกี้กลายเป็นคำถามโง่ ๆ ไปซะงั้น แม่ง.. อารมณ์เสียว่ะ... ไม่มีอารมณ์จะเถียงกับมันแล้วด้วย คนยิ่งหิว ๆ อยู่

            ผมเบ้ปากพลางแค่นหัวเราะ "เหอะ ๆ.... แล้วกับข้าวคอนแวนต์อร่อยไหมล่ะคุณปุณณ์..." ตั้งใจจะพูดประชดสะเปะสะปะไปงั้น.. แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะสะอึกไปจริง ๆ

            "ก็ดี......." ปุณณ์ตอบผมสั้น ๆ ก่อนจะเงียบเสียงไป นำให้คิ้วทั้งสองข้างของผมเลิกขึ้นสูงอย่างใช้ความคิด... เอมคงจะรู้เรื่องนั้นเมื่อตอนบ่ายที่ปุณณ์ออกไปกินข้าวด้วยสินะ

            "กูเจอน้องมึงที่คอนแวนต์ด้วย... ไอ้ตี๋น่ะ" เสียงไอ้ปุณณ์เริ่มชวนคุยต่อพลางเอื้อมรับเมนูแรกที่เป็นยำหนังหมูจากพี่พนักงานเสิร์ฟคนนั้นมาด้วย กลิ่นเปรี้ยวจากมะนาวโชยผ่านเตะจมูกผมทำเอาน้ำลายสอเพราะตอนนี้กำลังเริ่มหิวจัด

            ผมยกส้อมขึ้นหมายจะจิ้มหนังหมูพลางพูดต่อ "เออ ไอ้เป้อมันฝากท้องไว้กับสาวแถวนั้นประจำแหละ" แต่เพราะพูดไปตักไปความเร็วมือเลยช้ากว่าไอ้แสบปุณณ์ที่ดันเสือกจงใจเขี่ยชิ้นที่ผมหมายปองไว้ได้ แล้วเอาขึ้นไปจิ้มเข้าปากมันเองเสร็จสรรพ "สัด..." ขอด่าหน่อยเหอะ

            "เออ ก็อยากจะบอกเหมือนกันว่าเจอทุกครั้งที่ไป ฮ่า ๆ" มันว่าพลางเคี้ยวชิ้นที่ควรจะเป็นของผมตุ้ย ๆ แต่รอไม่นานนักกับข้าวจานอื่นก็ทยอยเข้ามาพร้อม ๆ กับทาวเวอร์เบียร์ที่ปุณณ์สั่ง "เด็กชมรมกูก็ต้องเนื้อหอมเหมือนประธานชมรมมันเป็นธรรมดา" ผมได้ทีเกทับมัน จนมันต้องส่งเสียงหัวเราะหึหึกลับมา

            "แต่ไม่เท่ากูหรอกมั้ง.." อืมม กล้าพูดดดนะไอ้ปุณณณ์ ผมเหลือบตามองมันพลางยักคิ้วข้างนึงล้อ ๆ

            "กูก็ว่า.... พี่สาวโต๊ะข้างหลังจะแดกมึงอยู่แล้วหวะ" เพราะผมเห็นมาตั้งนานแล้วว่านักศึกษาสาวโต๊ะข้าง ๆ จ้องเพื่อนผมตาเป็นมัน แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจซะเพราะแบบนั้นคงปลอดภัยมากกว่า

            "ข้างหลังมึงก็จะแดกมึงว่ะ..." ไอ้ปุณณ์โต้กลับมายิ้ม ๆ แต่ผมว่าไม่ต้องพูดจะดีกว่านะ เหอะ ๆๆ ผมยักไหล่ไม่สนใจคำพูดมันก่อนจะยื่นกดเบียร์ใส่แก้วตัวเองจากหลอดสูงเพื่อล้างปากก่อนหน่อยซักยกหนึ่ง


            ฟองเบียร์ที่เริ่มฟูปีนขอบแก้วทำให้ผมต้องยกมาดื่มเพื่อกันไม่ให้หก ก่อนจะรู้สึกเศร้าหนึบ ๆ ตรงอกข้างซ้ายขึ้นมาแปลก ๆ...

            ผมไม่เคยชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย.. มันเหมือนมีอะไรมาติดถ่วงเอาไว้ ให้ผมหัวเราะไม่ออก ยิ้มได้ไม่เต็มที่.. แม้ว่าจะพยายามพูดจากวนตีนปุณณ์มั่ง ด่าปุณณ์มั่ง ให้ดูเหมือนคนปกติทุกอย่าง แต่ในใจลึก ๆ จริง ๆ แล้ว ทั้งหมดที่ผมทำออกไปเป็นเพียงแค่หน้ากากที่ถูกสร้างขึ้นมาบดบังความเศร้าไว้เท่านั้น.. ผมปิดมันไว้ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่ายังไงก็ไม่มีทางหนีไปไหนได้ แต่อย่างน้อย ๆ ขอแค่ในเวลานี้ ผมได้หลอกตัวเองว่าผมยังสบายดีก็พอ

            บทสนทนาบนโต๊ะเราเงียบลงเมื่อปุณณ์เพียงนั่งจิบเบียร์อยู่เงียบ ๆ ไม่ได้กวนประสาทอะไรต่ออีก... ผมลอบมองดวงตาคมคู่นั้นที่ดูทั้งหม่นหมองและเหม่อลอยพิกล จนบางทีก็อยากจะรู้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่

            ผมไพล่นึกไปถึงจูบของปุณณ์บนรถที่ดูทั้งหงอยเหงาและเว้าวอนเหลือเกิน.. ไม่รู้เป็นแค่ผมที่คิดมากไปเองหรือเปล่าว่าอีกฝ่ายก็ดูมีเรื่องในใจมากมายไม่แพ้กัน


            ทำนองเศร้าของเพลง
thank you ดังคลอระหว่างผมยกเบียร์ขึ้นกระดกแก้วแล้วแก้วเล่า จนดูผ่าน ๆ เหมือนกับลุงแก่ที่โดนเจ้านายหักเงินเดือน เลยแวะมาดื่มย้อมใจยังไงยังงั้น (พบเห็นได้บ่อย ๆ ตามลานเบียร์) ซึ่งไอ้ปุณณ์ก็คงสังเกตเห็นพฤติกรรมนั้นอยู่เหมือนกันถึงได้คว้าข้อมือผมเอาไว้ทันก่อนจะซดแก้วที่ห้าลงคอแบบ non-stop hits

            "เฮ้ย
!! ท้องว่างไม่ใช่รึไง! ดื่มแบบนั้นกระเพาะแหกพอดี" เป็นไปตามคาด.. มันโวยใส่ผมพลางยึดแก้วเบียร์ไปจากมือโดยละม่อม.. หึหึ.. ได้ข่าวว่ามึงเป็นคนสั่งมาเองแท้ ๆ แต่พอกูจะกินเสือกห้าม หึหึ.. ไอ้เวร..

            ผมยักไหล่ด้วยท่าทางกวนตีนที่สุดกลับไปหามัน แล้วคว้าแก้วน้ำเปล่ามาดื่มตามเพื่อล้างคอ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับข้าวผัดชามใหญ่ ขณะที่ปุณณ์ก็แลดูมีความสุขดีกับเอ็นข้อไก่ทอด

            "วันนี้ยูริบุกมาหากูถึงโรงเรียน ตกใจหมดเลย" ผมเริ่มพูดทำลายความเงียบบนโต๊ะ (ที่มีแต่เสียงเพลงจากวงดนตรี) จนแอบเห็นมันสะดุ้งนิดหน่อย น่าสงสัยว่าอีกฝ่ายคงกำลังเหม่ออยู่

            นัยน์ตาของปุณณ์วูบไหวไปครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ริมฝีปากยิ้มกลับมาเหมือนเคย "เหรอ... เออ เป็นไงอะ"

            "มึงออกกฏปราบเกรียนโรงเรียนเรามั่งเด่ะวะ
! เห็นผู้หญิงขาว ๆ ญี่ปุ่นหน่อยเป็นไม่ได้... กูโผล่ไปหายูริช้ากว่านั้นหน่อยน่ากลัวจะโดนลากเข้าข้างทางว่ะ" ผมบ่นเป็นชุดไปพลางพุ้ยข้าวในแก้มไปพลาง ได้ยินเสียงหัวเราะของไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแว่วดังมาเป็นระยะ ๆ

            "ด่าคนอื่นเค้าเกรียน.. หัวมึงขนเยอะตายล่ะ" อ้าวไอ้สาดดดดด ด่ากูไม่ว่าแต่เสือกตบเหม่งด้วยนี่มีเฮ

            แน่นอนว่าผมปัดมือมันทิ้ง "ของกูเค้าเรียกสกินเฮดเว้ย สาดดด"

            "มึงเมายาคุมเหรอ สกินเฮดพ่อมึงสิเป็นงี้... แล้วอยู่ดี ๆ พูดเรื่องยูริทำไม" นั่นสิวะ.. ผมพูดทำไม.. ไม่อยากบอกเลยว่าจริง ๆ ที่ยูริมาก็เกี่ยวกับมึงทั้งนั้นนั่นแหละ

            "ไม่รู้ว่ะ แล้วมึงกับเอมเป็นไงมั่ง..." ทางที่ดีต้องรีบปัดออกให้พ้นตัวจะฉลาดกว่า.. จริง ๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจถามกินนัยอะไรปุณณ์มากมาย แต่ดูเหมือนมันสะอึกอุก

            "ก็ไม่เป็นไง..........." เสียงเบา ๆ ของปุณณ์ตอบมาว่าอย่างนั้น ก่อนที่มันจะเว้นระยะคำพูดต่อไปอยู่พักหนึ่ง... "ยังสวยหล่อเหมือนเคย" หื้ม ไอ้สาดดดดดดดดดดดด กูจะเริ่มเกลียดมึงก็ตอนนี้แหละ

            ผมไม่รู้จะด่ามันต่อว่าอะไรดี (เสือกจะเป็นความจริงอีก) เลยแกล้งทำเป็นสำลักข้าว ยกน้ำ(เปล่า)มาซด แล้วชูนิ้วกลางให้มันดูเป็นขวัญตาอย่างนั้น เหอะ ๆ เห็นมันหัวเราะตาหยียกใหญ่เหมือนกำลังถูกใจแล้วก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้หนักขึ้นกว่าเดิม

            เดี๋ยวพ่อเอาจิ้มตาแม่งเลย

            ผมวางแก้วที่น้ำหมดเกลี้ยงในมือลงก่อนจะหยิบช้อนส้อมเพื่อโซ้ยต่อ แต่แล้วกลับมีคำพูดหนึ่งหลุดออกมาจากปากของผมเอง

            "ก็ดี... กูล่ะกลัวใจมึงจะได้หลังแล้วลืมหน้า ฮ่า ๆๆๆ" หัวเราะครับ... ผมหัวเราะ... ทั้ง ๆ ที่แม่งไม่ได้น่าขำสักเท่าไหร่..... เอาจริง ๆ คือผมไม่ขำเลย สิ่งที่ทำได้มีเพียงส่งเสียงหัวเราะฮ่า ๆ ส่งเดชไป ทั้งที่ในใจรู้สึกแปลบไปหมดเหมือนมีมีดพันเล่มปักอยู่ตามขั้วหัวใจ

            ยิ่งผมหัวเราะดังเท่าไหร่ ก็แสดงว่าผมสมเพชตัวเองมากเท่านั้น... แค่นั้นเอง



            "หึหึ......" ปุณณ์แค่นหัวเราะตามผมก่อนจะเอี้ยวตัวไปกดเบียร์เพิ่มแก่แก้วมันที่พร่องลงไปเยอะแล้ว

            แต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับไม่แสดงความรู้สึกอะไรขณะที่พูดคำต่อมา

            "ไม่หรอก..."


            ผมรู้สึกเจ็บปลาบตั้งแต่ปลายเท้าลามถึงหัวใจเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ก่อนจะยักคิ้วข้างหนึ่งอย่างคนที่ยอมรับมัน..

            ก็บอกแล้วว่าที่เฮงซวยน่ะ... ตัวผมเอง


อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/hedfuc/story/viewlongc.php?id=436675&chapter=18#ixzz15oGseRLW

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น