วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นิยาย ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน 19

19th CHAOS
            หลังจากที่กินทั้งข้าวและกับแกล้มเสร็จจนอิ่มแปร้ ซัดตามด้วยเบียร์ 1 ทาวเวอร์ ทั้งผมและปุณณ์ก็กึ่ม ๆ กันไปเรียบร้อย ถ้าจะถามว่ากึ่มขนาดไหนลองคิดดูว่าหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายก่อนออกจากร้าน ผมถึงขั้นขึ้นไปโชว์สกิลความเป็นประธานชมรมดนตรี ด้วยการเปิดมินิคอนเสิร์ตร่วมกับพี่นักดนตรีในร้านยาวรวด 12 เพลง (หนึ่งโหล) ทั้งเล่นกีต้าร์ ร้องเพลง คีย์บอร์ด ตีกลอง ตบเบส ผมแจมหม๊ดดด... โห... พูดแล้วจะหาว่าคุยครับ ดนตรีไทย วงโย เครื่องออเคสตร้า ผมเล่นได้ทั้งนั้น ไม่งั้นจะเป็นประธานชมรมดนตรีได้ไง ฮ่า ๆๆ (แต่ถ้าไม่เมาผมคงไม่ทำอะ คิดแล้วอายตัวเอง)

            แน่นอนว่าตอนเข้าร้านฮือฮาขนาดไหน ขาออกมานี่ฮือฮายิ่งกว่า ฮ่า ๆๆ พวกผมเดินออกจากร้านด้วยเสียงกรี๊ดกระหึ่มของพี่สาว ๆ นักศึกษาที่เริ่มนั่งก้นไม่ติดโต๊ะกันเพราะแต่ละเพลงที่เล่นไป ช่างเปลี่ยนคอนเซปต์จากร้านอาหารธรรมดาให้กลายเป็นผับย่อย ๆ ได้ในพริบตา หึหึ.. ก็แหม... เห็นทุกโต๊ะเขามีเหล้ามีเบียร์ตั้งอยู่นี่ครับ ไอ้จะให้นั่งฟังเพลงสบาย ๆ ช้า ๆ ก็กลัวว่าเดี๋ยวจะง่วงหลับคาโต๊ะกันพอดี

            เวลาเกือบเที่ยงคืน เราเช็คบิลออกจากร้านด้วยราคาที่พี่เจ้าของลดให้เกินครึ่ง
! แหม... ไม่รู้จะยกความดีความชอบให้ใคร ระหว่างผม ที่เปิดมินิคอนเสิร์ตกางเกงน้ำเงินเอาใจแม่ยกสาขาบางแสน หรือไอ้เชี่ยปุณณ์ ที่หล่อสะท้านชายหาดจนป้า ๆ นักศึกษาแถวนั้นรีบกดโทรศัพท์เรียกเพื่อนยิก ๆ ให้เข้ามากินข้าวร้านนี้จนคนแน่นขนัด

            แต่ยังไงก็เหอะ เราสองคนขับรถออกจากร้านด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้างง อย่างหุบไม่อยู่ ปุณณ์พารถฮอนด้าสองประตูของมันขับลัดเลาะถนนริมชายหาดไปเรื่อยเปื่อย ขณะที่เปิด
moon roof ให้ผมได้ชมพระจันทร์ดวงสวยเต็มตา

            มีความสุขจนไม่อยากให้คืนนี้ผ่านไปเลยแฮะ... เวลาเล่นเกมจับผิดยังมีปุ่มหยุดเวลาเลย แล้วทำไมในชีวิตจริงถึงไม่มีมั่ง
            ผมแอบมองใบหน้าด้านข้างของปุณณ์ที่เจือรอยยิ้มอยู่เช่นเดียวกัน


            เราสองคนขับรถวนรอบชายหาดไปเรื่อย พลางซัดเบียร์จากเซเว่นอีกสามสี่กระป๋อง ก่อนจะหยุดรถลงเช็คอินที่โรงแรมริมหาดแห่งหนึ่ง แม้จะว่าแพงหูฉี่สำหรับทะเลบางแสน แต่บัตรวีซ่าสีทองของไอ้ปุณณ์ช่วยได้

            "ไว้มีตังค์แล้วจะใช้ให้นะ" ผมว่าพลางตบไหล่มันปุ ๆ ระหว่างเดินไปห้องพักริมทะเลของเรา ได้ยินเสียงมันหัวเราะรับคำพูดผม ก่อนจะยื่นมือมาตบเกรียนผมดังปั้ก
!

            ถ้าเยี่ยวรดที่นอนคืนนี้มึงก็เปียกนั่นแหละไอ้เวร
!!

            "คิดมากไร ตังค์นี่เดี๋ยวกูหักจากค่าชมรมมึง" อ้าววววววว พูดงี้ก็สวยดิ่ครับ!! ผมถลึงตามองหน้าไอ้ปุณณ์ที่ทำเป็นผิวปากไม่สนใจ พลางไขประตูห้องหมายเลข 17 อยู่ นี่ถ้าเหวี่ยงเป้ฟาดหัวมันได้ผมคงทำไปแล้ว ติดแต่เป้โคตรหนัก ให้เหวี่ยงขึ้นมาล่ะแขนผมคงได้มีหัก

            "โอ่ยยยยย สบายยยยยยยยยยยยยยยยยย" ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก ผมก็รีบเขวี้ยงเป้โรงเรียน แล้วปรี่ไปเปิดประตูกระจกรับลมทะเลทันที ขณะที่ไอ้ปุณณ์ยังคงสาละวนอยู่กับการล็อคประตูห้องให้แน่นหนา ไม่รู้แม่งกลัวโจรเข้าหรือกลัวผมหนี

            ผมยืนสูดลมทะเลตรงริมระเบียงได้ซักพักก็รู้สึกถึงวงแขนอุ่นที่ตระกองกอดรอบเอวผมไว้หลวม ๆ จากด้านหลัง พร้อมทั้งใบหน้าคนมาด้วยกันก้มซุกอยู่บริเวณไหล่.. ผมเหล่ตามองปุณณ์พลางยักไหล่ขึ้นลงให้หัวมันเด้งดึ๋งเล่น ๆ "เฮ้ย
! เพิ่งมาถึงจะปล้ำกูเลยเหรอ ไม่ไหว ๆๆ หื่น" แกล้งกวนตีนมันไปอย่างนั้นแหละ หึหึ

            "มึงแหละหื่น กูยังไม่ได้ทำไรเลย" แน่นอนว่ามันต้องด่าผมกลับ แต่เสียงฟังดูอู้อี้มากเพราะยังคงซุกหน้ากับบ่าผมอยู่ ผมหัวเราะกับคำตอบนั้นพลางลดมือที่เกาะราวระเบียงอยู่ ลงมาจับมือปุณณ์ที่โอบผมไว้แทน "เป็นอะไรห๊ะ
?" เพราะอยู่ดี ๆ เข้ามาอ้อนแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ ๆ

            "ขออยู่แบบนี้ซักพักได้มั้ย............" เสียงนั้นของปุณณ์ฟังดูอ่อนแรงจนทำให้ผมระลึกได้ว่าควรหยุดกวนตีนมันซักที สิ่งที่ทำในเวลาต่อมาจึงกลายเป็นการอิงหัวตัวเองลงกับหัวมันแล้วยืนนิ่ง ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดผมได้นานเท่าที่ต้องการ

            "แต่ถ้าตะคริวกินขากู มึงโดน..."


***


            'I could be brown, I could be blue, I could be violet sky~'
         
เวลาผ่านไปพักใหญ่ที่เรายืนกอดกันจนโทรศัพท์เครื่องสีดำของปุณณ์ส่งเสียงทำลายความเงียบ ผมเหลือบมองโนเกียเครื่องนั้นที่ทั้งร้องทั้งสั่นอยู่บนโต๊ะวางของซึ่งปุณณ์วางทุกอย่างทิ้งไว้บนนั้น

            "ลืมปิดเครื่องเหรอเนี่ย..." เสียงทุ้มนั้นบ่นกับตัวเองเบา ๆ ข้างหูผม ก่อนจะคลายวงแขนออก เตือนให้นึกไปถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับยูริเมื่อตอนเย็นอีกครั้งทันที..
           
            ผมมองตามแผ่นหลังภายใต้เสื้อยืดสีเขียวทหาร ที่เดินผละไปยังที่วางโทรศัพท์ แต่ไม่ยักเห็นวี่แววหรือทีท่าใด ๆ บอกว่าปุณณ์จะกดปุ่มรับสายเลย

            "เฮ้ย
! ปุ่มนั้นมันปิดเครื่อง ไอ้ควายยย" เมื่อเห็นว่าปุณณ์งก ๆ เงิ่น ๆ แถมยังคลำมืออยู่บริเวณปุ่มปิดเครื่องแทนที่จะเป็นปุ่มรับสาย ผมก็รีบปรี่เข้าไปโบกเหม่งมันเพื่อเตือนสติทันที ก่อนจะถูกอีกฝ่ายโบกหน้าผากกลับคืนมา "ก็กูจะปิดเครื่องไง ไอ้นี่..."

            แต่อย่าคิดว่าผมจะยอมมันง่าย ๆ.. ในที่สุด เหตุการณ์ยื้อยุดฉุดกระชากโทรศัพท์ (ที่ยังคงดังอยู่) จึงเกิดขึ้น ผมเหลือบตามองเบอร์โทรเข้าโชว์เป็นรูปเอมหรา จนรู้สึกเจ็บขึ้นมาแปลก ๆ "เอมโทรมา มึงจะปิดเครื่องทำไม"

            เจ้าของมือถือหลบสายตาผมวูบทันที................


           
'Why don't you like me? Why don't you like me? Why don't you walk out the door'.........................
         
เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือดังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเงียบไป ปุณณ์ฉวยโอกาสนั้นกดปิดเครื่องอย่างไม่รอรี แต่ยังช้ากว่ายูริที่โทรเข้ามือถือผมอย่างรวดเร็ว

           
'ใครจะไปดีได้ทุกชั่วโมง ก็เรามันคนไม่ใช่ละครทีวี~'
         
ผมเหลือบมองไอโฟนตัวเองที่ร้องอยู่ข้างเป้อย่างขำ ๆ

            "พ่อบ้านหนีเมียว่ะ โทรตามกันให้วุ่น หึหึ.." แต่ขณะที่ผมกำลังจะเดินไปกดรับสายยูรินั้นเอง ดันไม่ทันคนที่ไวเป็นลิงกว่าอย่างไอ้ปุณณ์ เพราะพ่อคุณเล่นคว้าโทรศัพท์จากมือผมไปกดตัดสายปิดเครื่องหน้าตาเฉย ไม่ฟังอีร้าค้าอีรมผมที่ยืนอ้าปากค้างอยู่นี่เลย

            "เห้ย
!! น้อย ๆ หน่อย นั่นมือถือกูนะ..." ถึงตรงนี้ก็เริ่มจะมีน้ำโหนิด ๆ แล้วครับ ใครแม่งสอนให้มันทำตัวไม่มีมารยาทแบบนั้นฟะ           
            แต่คำประท้วงไหนก็ดูเหมือนจะไม่สะดุ้งสะเทือนกระดูกค้อน ทั่ง โกลนของปุณณ์ เพราะพี่แกเล่นทำหน้าเฉยสนิทก่อนจัดการโยนไอโฟนลงเตียงอย่างไม่ใยดี ขณะที่ผมอ้าปากหมายจะด่าต่ออีกซักรอบสองรอบ ปุณณ์กลับคว้าตัวผมไปกอดไว้แนบแน่นเสียก่อน

            และผมก็คงจะขัดขืน ถ้าไหล่ของมันไม่ได้สั่นจนน่าตกใจ...............

            "เป็นไรวะปุณณ์
?"
            คนที่กอดผม ทั้งตัวสั่นและเสียงแหบพร่า.. "คืนนี้ให้มีแต่เราก่อนนะ.... อย่าเพิ่งมีคนอื่นเลย..."

            "........................"

            ผมนิ่งมองศีรษะของคนที่กอดผมแน่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย.. ถึงในอกจะรู้สึกโหวงไปหมด แต่ในหัวกลับมีเรื่องราวและความรู้สึกมากมายว่อนไปมาอยู่อย่างประหลาด ผมพยายามจะมองไปบนทางข้างหน้าแต่ก็รู้สึกว่า ผมมองไม่เห็นอะไรนอกจากทางตัน..

            จริง ๆ แล้วในเรื่องนี้ ผมเองต่างหากที่เป็นคนอื่น.. ระหว่างปุณณ์กับผมใช้คำว่า
'เรา' ไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมกับมันไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่ควรเป็นอะไรกัน และไม่มีวันเป็นอะไรกัน ต่อให้ความรู้สึกที่ปุณณ์มีต่อผม หรือผมมีต่อปุณณ์มันจะคืออะไร และมากน้อยเพียงไหน ภาพที่มองเห็นตรงหน้า ก็ยังคงมีแต่ภาพปุณณ์กับเอมที่ควรจะมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่นี้อยู่ดี

            ผมกอดมันกลับด้วยความรู้สึกเจ็บไปทั้งตัวเหมือนคนกอดลูกทุเรียน.. เพราะยิ่งผมกอดมันแน่นเท่าไหร่ ความรู้สึกเจ็บก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเท่านั้น มันเจ็บจนผมไม่แน่ใจว่าจะทนกอดมันได้ไปถึงเมื่อไหร่

            "มึงอย่ามีปัญหากับเอมเพราะกูเลยว่ะ... พูดจริง ๆ" นี่คือคำที่ผมอยากพูดที่สุดในเวลานี้...

            ปุณณ์ส่ายหัวไปมาในอกผม "กูไม่ได้มีปัญหากับเอมเพราะมึง... กูมีเพราะตัวกูเอง.." เสียงมันฟังดูทั้งสั่นเครือและสับสน เหมือนคนจัดการอะไรตัวเองไม่ถูก อ้อมแขนที่กอดผมไว้นั้นกำลังสั่นไหว บอกถึงสภาพจิตใจเจ้าของมันได้เป็นอย่างดี

            และผมไม่ควรทำให้แย่กว่านี้..

            "พวกมึง... มีปัญหาอะไร.. กัน
?" คำถามนี้ต้องการคำตอบ.. แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดกับผม

            "กูมันเหี้ย.... กูมีเอมแล้วแต่ก็ยังมายุ่งกับมึง.."

            "คนเหี้ย ๆ เขาไม่ด่าตัวเองว่าเหี้ยกันหรอก... มา มานั่งคุยกันดี ๆ" ผมว่าพลางถอนหายใจพรูแล้วคลายวงแขนออก เป็นฝ่ายนำมันนั่งลงมานั่งบนเตียงเอง

            ปุณณ์กดปากเม้มแน่น จ้องผ้าปูที่นอนตลอดเวลา ไม่ยอมเงยหน้ามองผม "มึง... กู... ขอโทษว่ะ.."

            "ขอโทษไร พูดมาให้จบ"

            "กูกับเอม........... มีอะไรกันแล้ว.." ในที่สุดคำนี้ก็หลุดมาจนได้... ทั้งที่เป็นคำเดียวกัน แต่เวลาฟังจากปุณณ์มันช่างบาดได้ลึกกว่ายูริหลายสิบเท่า จนผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกน็อคหน้าชา.. นัยน์ตาผมไหวอยู่วูบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปมองหน้ามันต่อดังเดิม "เออ... แล้วไงอีก"

            ปุณณ์สูดลมหายใจลึกอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเงยขึ้นมาสบตาผมเต็มตา "แต่กูก็ยังไม่ห้ามตัวเอง... เวลาอยู่กับมึง.." ดวงตาคมที่มองมา ผมเห็นแต่ความเจ็บปวด... จนบางทีอดคิดไม่ได้ว่า ปุณณ์เองก็คงจะเห็นสายตาแบบเดียวกันจากผมเหมือนกัน

            ริมฝีปากบางนั้นยังคงพูดต่อทั้งที่ผมเริ่มไม่อยากฟังขึ้นไปทุกที ๆ "กูทิ้งเอมไม่ได้ แต่กับมึงกูก็................. กูไม่รู้จะทำยังไง.." ถึงตรงนี้ปุณณ์เริ่มผลุบหน้าลงต่ำ พร้อมขยำผ้าปูที่นอนจนยู่ยี่.. เห็นดังนั้นผมจึงเอื้อมมือตัวเองไปกุมมือมันไว้แผ่ว ๆ

            เพราะผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้ต้องเป็นผมเท่านั้นที่พูดเอง

            "มึงฟังนะ..." นี่คือความพยายามที่ลำบากมากที่สุดในชีวิตผม..

            "เอมเป็นผู้หญิง.. เขาเสียหายแล้ว มึงจะทำงั้นไม่ได้... มึงต้องกลับไปดูแลเขา.... ส่วนกูเป็นผู้ชาย กูไม่มีอะไรเสียหาย" ทั้งที่คิดว่าเป็นแค่คำพูดธรรมดาที่สุดแล้ว แต่ปุณณ์กลับสปริงหัวขึ้นมาราวกับได้ยินเรื่องผีอย่างไงอย่างงั้น

            "โน่.... ไม่พูดต่อ..." เสียงนั้นขู่แกมบังคับผม แต่ผมรู้ดีว่าจะยอมมันไม่ได้.. ความพยายามที่เหนื่อยที่สุดในเวลานี้คือการส่งยิ้มออกไป

            "ไปหาปืนกาวมายิงปากกูเด่ะ... เอาเป็นว่าเรื่องมึงกับกูเฉย ๆ ไปแล้วกัน กูไม่คิดมาก" ผมพูดทั้งรอยยิ้มพลางมองหน้าปุณณ์ที่อ้าปากทำท่าอยากเถียงอยู่แว่บหนึ่ง แต่ไม่มีทางไวกว่าผม "บอกอีกรอบ กูไม่ใช่ผู้หญิง สาดด" จบคำนี้ผมถูกปุณณ์รวบข้อมือไว้ทันที

            "โน่เข้าใจไหมว่ามันไม่เกี่ยว.. ไม่เกี่ยวกับว่าใครเป็นอะไร แต่เกี่ยวกับปุณณ์ทำอะไรลงไปแล้วบ้าง โน่เข้าใจรึเปล่า
!" นัยน์ตาคมนั้นจ้องผมนิ่งจนไม่กล้าหลบตา ผมมองลึกลงไปในลูกแก้วสีดำสนิทคู่นั้นที่หมองจนดูยังไงก็ไม่คุ้น.. ริมฝีปากบางของปุณณ์ยังคงพูดต่อ "ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว.. โน่ไม่พูดได้มั้ยว่าจะไป.."

            แน่นอนว่าผมขืนมือออกจากพันธนาการนั้นพร้อมเสียงหัวเราะที่สู้อุตส่าห์เค้นแทบตาย "ฮะฮะฮะ.. ไอ้ห่า....... มึงอย่ามาทำเป็นพระเอก อยากเป็นอิสลามเมียสี่รึไง" แม้จะรู้สึกเหมือนร่างกายไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรอีก แต่ก็ยังคงมีเรื่องที่ต้องพูดต่อไป..

            "แล้วก็อย่าลืมว่ากูมีแฟนแล้วเหมือนกัน.. ช่วงนี้งานบอลทำกูโคตรยุ่งด้วย ไอ้เอิ้นจะให้
band ช่วยตั้งหลายอย่าง ดังนั้นกูไม่ว่างรับจ็อบเป็นแฟนมึงอีกคนหรอก เหนื่อยย โอทีก็ไม่ได้" ตลกปะครับ... มันไม่ขำหวะ... ผมฝืนหัวเราะให้มันฟังทั้งที่ก้อนน้ำตามาจุกอยู่ตรงคอหอยแล้ว

            ผมอ่านออก ว่าสายตาของปุณณ์ที่มองมาทางผมต้องการจะบอกว่าอะไร
            และผมก็รู้ ว่าปุณณ์อ่านออก.. ถึงสายตานี้ที่ผมต้องการบอกมัน

            เรื่องหลังจากนี้ คงไม่เหลืออะไรให้ปากพูดอีก..

            ผมกับปุณณ์หยุดมองหน้ากันนิ่ง จนเดินมาถึงจุดสุดท้ายของอารมณ์.. ผมยอมรับว่าตัวเองไม่เหลือความอดทนอีกต่อไป

            "ปุณณ์
!" ผมโพล่งชื่อมันออกมาพลางโถมตัวเข้ากอดเจ้าของชื่อนั้นแน่น อ้อมแขนปุณณ์ที่ตอบรับผมเป็นไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ในเวลานี้ผมไม่เหลือความเข้มแข็งอีกต่อไป

            มีแต่เสียงคนเห็นแก่ตัวดังก้องอยู่ในใจว่า ผมไม่อยากปล่อยปุณณ์ไป

            "โน่...
?"

            "มึง...."

            "ว่าไงครับ.."

            "จนกว่าจะเช้า.... อย่าเพิ่งปล่อยกูนะ"



            ตอนเริ่มรักแทบไม่ต้องใช้เวลา... แต่ทำไมพอจะจากลา มันทรมานอย่างนี้ล่ะครับ


อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/hedfuc/story/viewlongc.php?id=436675&chapter=19#ixzz15oH6znaW

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น